คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 821/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ถูกกล่าวหารับเป็นทนายให้ลูกความเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาตามหน้าที่ในกฎหมายแล้ว การที่ศาลสั่งให้ลูกความซึ่งเป็นโจทก์ชำระค่าธรรมเนียมขึ้นศาลเพิ่มตามทุนทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ผู้ถูกกล่าวหารับเงินค่าธรรมเนียมจากโจทก์เพื่อนำมาชำระต่อศาลแทนโจทก์กลับนำเงินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว แล้วไปแถลงต่อศาลว่าโจทก์ขอผัด เป็นกริยาตระบัดสินแล้ว แม้คิดจะหาเงินไปชำระให้ในภายหลัง แต่หาไม่ได้เลยไม่ได้ชำระ ศาลจึงยกฟ้อง และแม้จะมีความตั้งใจจะหาเงินมาใช้คืน แต่การตระบัดสินได้เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่เอาเงินลูกความไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว และถือว่าลูกความได้รับความเสียหายแล้ว ส่วนการที่ลูกความฟ้องคดีใหม่ เป็นเรื่องลูกความหาทางแก้ของเขาเอง คดีเก่าที่ถูกยกฟ้องก็คงเป็นเพราะความผิดของทนายความผู้ถูกกล่าวหาอยู่ตามเดิม

ย่อยาว

กรณีเรื่องนี้ พระยาดำรงวิธีรำผู้กล่าวหา ได้ยินเรื่องราวกล่าวโทษนายฐิติ โปษกะบุตร ทนายความต่อคณะกรรมการสอดส่องความประพฤติทนายความ มีใจความว่า พระยาดำรงวิธีรำผู้กล่าวหาได้เป็นโจทก์ฟ้องบริษัทวิบูลย์สถาปัตย์ จำกัด กับพวก เป็นจำเลย ต่อศาลแพ่งในข้อหาว่าผิดสัญญาเช่า ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากสถานที่เช่า โดยมอบให้นายฐิติเป็นทนายโจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลแทนผู้กล่าวหา จำเลยในคดีที่ฟ้องขับไล่ให้การต่อสู้กรรมสิทธิที่พิพาทเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ศาลได้มีคำสั่งให้โจทก์นำเงินค่าธรรมเนียมขึ้นศาลในทุนทรัพย์ ๑๒๓,๐๐๐ บาทมาชำระต่อศาล ผู้กล่าวหาจึงได้มอบเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องเสียเพิ่มเป็นเงิน ๓,๒๒๕ บาท ให้ผู้ถูกกล่าวหาไปชำระต่อศาลแทน แต่ผู้ถูกกล่าวหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ได้กระทำการทุจริตยักยอกเงินจำนวน ๓,๒๒๕ บาทไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ไม่นำไปชำระต่อศาลตามหน้าที่ เป็นเหตุให้ผู้กล่าวหาเสียหาย กล่าวคือศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้ผู้กล่าวหาแพ้คดี การกระทำของนายฐิติเป็นการประพฤติผิดหน้าที่ในฐานะทนายความ ขอให้คณะกรรมการสอดส่องความประพฤติทนายความไต่สวน
ผู้ถูกกล่าวหาให้การแก้ข้อกล่าวหาว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้ทำหน้าที่ไปโดยชอบแล้วผู้กล่าวหามิได้เสียหาย
คณะกรรมการสอดส่องความประพฤติทนายความได้ไต่สวนกรณีนี้แล้ว จึงรายงานเสนอสำนวนต่อศาลอุทธรณ์ ตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๑๑ เพื่อศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยออกคำสั่งต่อไป
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการเบียดบังเอาเงินที่ได้รับมอบหมายให้นำไปชำระต่อศาล ไปใช้เป็นประโยชน์ของตนเองโดยมิชอบ และจงใจปล่อยปละละเลยให้คดีของผู้กล่าวหาถูกพิพากษายกฟ้อง เป็นความผิดฐานตระบัดสินลูกความ และฐานประพฤตินอกมารยาทแห่งทนายความ โดยจงใจละเว้นหน้าที่อันควรกระทำเกี่ยวแก่การดำเนินคดีแห่งลูกความของตน
ข้อที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าผู้กล่าวหาไม่เสียหายเพราะได้ฟ้องคดีใหม่แล้วนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการฟ้องคดีใหม่มิได้ทำให้ความเสียหายหมดไป การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๑๒ ( ๑ ) ( ๔ ) ประกอบด้วยข้อบังคับว่าด้วยมารยาททนายความ พ.ศ. ๒๔๘๒ ข้อ ๒ ( ข ) จึงพิพากษาห้ามไม่ให้นายฐิติ โปษกะบุตร ทำการเป็นทนายความมีกำหนด ๒ ปี นับแต่วันฟังคำพิพากษาเป็นต้นไป ตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๑๒
ผู้ถูกกล่าวหาฎีกา
ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ฟังว่านายฐิติทนายความซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ ได้รับเป็นทนายให้พระยาดำรงวิธีรำโจทก์ฟ้องขับไล่บริษัทวิบูลย์สถาปัตย์ จำกัด จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ซึ่งเช่าปลูกอาคารสำนักงานและเรียกค่าเช่าที่ค้างบริษัทวิบูลย์สถาปัตย์ จำกัด จำเลยให้การสู้คดีว่า โจทก์ได้ขายที่ดินส่วนหนึ่งให้จำเลยแล้ว ศาลแพ่งจึงสั่งเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๗ ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มในราคาที่ดิน ๑๒๓,๐๐๐ บาท คิดเป็นเงินค่าขึ้นศาล ๓,๒๒๕ บาทนายฐิติทนายโจทก์ในคดีนั้นได้แจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์ได้มอบเงินค่าขึ้นศาล ๓,๒๒๕ บาทให้นายฐิติทนายความของตนนำไปชำระต่อศาล แต่นายฐิติกลับนำเงินที่รับมอบหมายมานี้ไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย แล้วไปแถลงขอผัดต่อศาล หลายครั้งจนกระทั่งขอผัดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ไม่นำเงินไปวางศาล จนศาลแพ่งพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุไม่วางเงินค่าขึ้นศาลเพิ่มตามคำสั่ง
ศาลฎีกาเห็นว่า นายฐิติผู้ถูกกล่าวหาได้รับเป็นทนายให้พระยาดำรงลูกความเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาตามหน้าที่ในกฎหมายแล้ว การที่ศาลสั่งให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียนขึ้นศาลเพิ่มตามทุนทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ทนายก็เป็นผู้รับเงินค่าธรรมเนียมขึ้นศาลมาจากตัวโจทก์เพื่อนำมาชำระต่อศาลแทนโจทก์ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของทนาย แต่ไม่ทำตามที่ได้รับมอบ ทนายกลับนำเงินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวแล้วตนเองกลับไปอ้างชื่อโจทก์ขอผัดชำระค่าธรรมเนียมต่อศาลถึงหลายครั้ง ในที่สุดก็ไม่ชำระ เงินนี้เป็นของลูกความมอบมาเพื่อเสียค่าธรรมเนียม ไม่ใช่ให้แก่ทนายใช้สอยเป็นส่วนตัว เมื่อเอาไปใช้แล้วก็ไปแถลงต่อศาลว่าโจทก์ขอผัด ปิดบังความจริง เป็นกิริยาตระบัดสินแล้ว
ส่วนข้อที่ฎีกาว่า ไม่จงใจจะตระบัดสินนั้น ผู้ถูกกล่าวหาเอาเงินค่าธรรมเนียมที่ลูกความมอบหมายมาไปใช้เสียก่อน แล้วจะหาเงินไปชำระภายหลัง แต่หาไม่ได้เลยไม่ได้ชำระ ศาลจึงยกฟ้องคดีของผู้กล่าวหา แม้มีความตั้งใจจะหาเงินมาใช้คืน แต่การตระบักสินได้เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่เอาเงินของลูกความไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ไม่ทำตามที่รับมอบหมาย
อีกข้อหนึ่ง ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาเถียงว่าผู้กล่าวหาไม่เสียหาย เพราะได้ฟ้องคดีใหม่แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าข้อนี้เถียงฝืนความจริง ผู้ถูกกล่าวหาเอาเงินที่มอบหมายให้วางศาลไปใช้เสียจนคดีของลูกความต้องถูกยกฟ้อง เพราะเหตุไม่ชำระค่าธรรมเนียม ความเสียหายมีขึ้นเห็นชัดอยู่แล้ว ส่วนที่ฟ้องใหม่เป็นเรื่องที่ลูกความหาทางแก้ของเขาเอง คดีเก่าซึ่งถูกยกฟ้องก็คงเป็นเพราะความผิดของผู้ถูกกล่าวหาอยู่ตามเดิม
พิพากษายืน.

Share