คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรมาในฟ้องเดียวกันจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง โดยไม่ระบุว่า รับสารภาพในข้อหาฐานความผิดใด เช่นนี้ถือว่าเป็นคำรับสารภาพที่ไม่ชัดเจน เป็นหน้าที่โจทก์จะต้องนำสืบการกระทำผิดของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่สืบพิสูจน์ความผิดของจำเลยก็ย่อมลงโทษจำเลยไม่ได้ ศาลต้องพิพากษายกฟ้องและถ้ามีอุทธรณ์ฎีกามาสู่ศาลสูง ก็ไม่มีเหตุที่จะให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2513)

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๑๑ เวลากลางคืนหลังเที่ยงมีคนร้ายลักรถยนต์บรรทุกยี่ห้ออีซูซุ ๑ คัน ราคา ๑๑๕,๕๐๐ บาท ของนายกิมชิตพันธเวช ไปโดยทุจริต ต่อมาวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๑๑ เวลากลางคืนก่อนเที่ยงเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยรถยนต์ของกลางของผู้เสียหายซึ่งถูกคนร้ายลักไปดังกล่าวแล้วพร้อมทั้งไฟฉาย ๑ อันกุญแจผี ๘ ดอก อันเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการกระทำผิด ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ทั้งนี้โดยตามวันและเวลาดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันลักหรือรับของโจรรายนี้ไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำผิดเหตุเกิดที่ตำบลห้วยกะปิ อำเภอเมืองชลบุรี และตำบลหนองตำลึงอำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕, ๓๕๗, ๓๓, ๘๓ และริบไฟฉายกับกุญแจผีที่จำเลยใช้ในการกระทำผิดด้วย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ขอรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ ไม่ขอสู้คดี
โจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๗ ให้จำคุกจำเลยคนละ ๔ ปี จำเลยให้การรับสารภาพโดยดี ปรานีลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา ๗๘ คงจำคุกคนละ ๒ ปี ริบเครื่องมือของกลาง
จำเลยที่ ๑ ผู้เดียวอุทธรณ์ว่า จำเลยถูกจำเลยที่ ๒ ชักชวนไปโดยไม่ทราบว่าไปเพื่อทำความผิด จำเลยจึงไม่มีความผิด หากศาลเห็นว่าจำเลยควรมีความผิดก็ขอลดโทษหรือรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ปรึกษาคดีว่า ความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรนั้นเป็นความผิดคนละฐาน จะลงโทษผู้ที่ร่วมกระทำความผิดอย่างเดียวกันในเรื่องเดียวกันในฐานรับของโจรไปเลยทีเดียวเมื่อจำเลยขอรับสารภาพตามฟ้องไม่ได้เพราะคำรับของจำเลยในเรื่องนี้ไม่มีความชัดเจนพอที่ศาลจะชี้ขาดว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานใดการที่จำเลยทั้งสองรับสารภาพตามฟ้อง ก็เท่ากับจำเลยรับว่าเอารถยนต์ไปจากเจ้าทรัพย์หรือรับว่าเอารถยนต์มาจากผู้อื่นโดยทราบว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดในลักษณะลักทรัพย์ ข้อเท็จจริงในคำรับสารภาพของจำเลยจึงขัดกันและกันในตัวเองคำรับเพียงเท่านี้ยังลงโทษจำเลยไม่ได้ โจทก์จะต้องนำสืบพยานต่อไปให้ศาลพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดในฐานใดแน่ เมื่อโจทก์จำเลยไม่สืบพยาน คำให้การรับเป็น ๒ นัยที่ข้อเท็จจริงยังขัดกันอยู่ ยังไม่มีเหตุที่ศาลจะชี้ขาดว่าจำเลยทำผิดฐานใดอันควรลงโทษได้ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง จึงพิพากษาให้ยกฟ้องปล่อยจำเลยทั้งสองพ้นข้อหาไปที่ปล่อยจำเลยที่ ๒ ด้วยเพราะเป็นเหตุในลักษณะคดี
แต่มีความเห็นแย้งของรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาโดยสอบถามคำให้การจำเลยทั้งสองเสียใหม่แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานรับของโจรหรือมิฉะนั้นก็ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีนี้โดยที่ประชุมใหญ่แล้ว เห็นว่า ความผิดฐานลักทรัพย์กับรับของโจรนั้นเป็นความผิดคนละฐานจะลงโทษคนเดียวในเรื่องเดียวทั้งสองฐานด้วยกันไม่ได้ คำรับของจำเลยไม่ชัดเจนพอจะชี้ขาดว่าได้ทำผิดฐานใด เพราะเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบต่อไปให้ได้ความถึงการทำผิดของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ และคดีไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาสอบถามคำให้การจำเลยทั้งสองใหม่ จึงพิพากษายืนให้ยกฎีกาโจทก์

Share