แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ แม้บัญชีเดินสะพัดและบัญชีหนี้ค้างนานโจทก์เป็นฝ่ายทำขึ้นเองโดยจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้อง แต่โจทก์เป็นธนาคารมีหน้าที่จะต้องจัดทำบัญชีและหลักฐานต่างๆ ขึ้นสำหรับลูกค้าของโจทก์ทุกรายเพื่อแสดงยอดเงินฝากและเงินถอนระหว่างโจทก์กับลูกค้าแต่ละรายว่าเป็นหนี้ต่อกันหรือไม่เพียงใดเมื่อมีเหตุผลทำให้เชื่อว่ายอดหนี้ตามบัญชีเดินสะพัดและบัญชีหนี้ค้างนาน โจทก์คิดคำนวณโดยสุจริตในการดำเนินธุรกิจของตนถูกต้องตรงกับความจริงศาลก็รับฟังบัญชีดังกล่าวนั้นได้ แม้โจทก์มิได้อ้างเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเบิกเงินไปจากบัญชีรวมทั้งใบแจ้งยอดหนี้ประจำเดือนมาเป็นพยานก็ไม่ถึงกับทำให้รับฟังบัญชีดังกล่าวไม่ได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับโจทก์ ต่อมาได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์เพื่อใช้กับบัญชีกระแสรายวัน 30,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15ต่อปี จากนั้นได้เพิ่มวงเงินเป็น 85,000 บาท จำเลยที่ 2ที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันและร่วมรับผิดในวงเงินคนละ 30,000บาท จำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินไปหลายครั้ง ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้โอนเงินฝากประจำพร้อมดอกเบี้ยเข้าฝากในบัญชีดังกล่าว เมื่อหักชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 เบิกเงินเกินบัญชีไปแล้ว จำเลยที่ 1 ยังคงเป็นหนี้โจทก์ 260,343.21 บาท หลังจากนั้นไม่มีการนำเงินเข้าฝากหรือถอนเพื่อให้บัญชีเดินสะพัด โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นเรื่อยมาจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2526 จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ 551,819.32 บาท และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2526 จนถึงวันฟ้อง โจทก์คิดดอกเบี้ยในต้นเงินจำนวนดังกล่าวอย่างไม่ทบต้นเป็นเงินดอกเบี้ย 110,893.01 บาท รวมเป็นเงิน 662,712.33 บาท โจทก์บอกกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสามไม่ชำระ ขอให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 662,712.33 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 551,819.32 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมชำระกับจำเลยที่ 1 ด้วยจำนวน 68,074.90บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 30,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เคยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ โดยให้จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อไว้ในสัญญาดังกล่าวที่ยังไม่ได้กรอกข้อความ จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ไม่ได้สั่งโจทก์จ่ายเงินแก่บุคคลภายนอกนับตั้งแต่ พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา การแสดงยอดเงินฝากบัญชีของจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นผู้จัดทำขึ้นเอง นับตั้งแต่ พ.ศ. 2522 เป็นต้นมาโจทก์ไม่เคยมีหนังสือแจ้งรายการแสดงยอดเงินฝากของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 ทราบ ทั้งจำเลยที่ 1 ได้ขอปิดบัญชีไปแล้ว
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การว่า เอกสารต่างๆ ที่โจทก์นำมาฟ้องโจทก์เป็นผู้ทำขึ้นเอง จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…ปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดชดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด โจทก์นำสืบว่า หลังจากที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์ในวันที่ 27 มกราคม 2520 ในวงเงิน 30,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ. 10 แล้ว ต่อมาวันที่ 20 กรกฎาคม 2520 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเพิ่มวงเงินจาก 30,000 บาท เป็น 85,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ. 11 ศาลฎีกาได้ตรวจดูบัญชีเดินสะพัด เอกสารหมาย จ. 14 แล้วปรากฏว่าในวันที่ 20 กรกฎาคม 2520 จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ 45,961.83 บาท ซึ่งเกินวงเงิน 30,000 บาท ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ. 10 จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ในขณะนั้นเป็นเงินจำนวนดังกล่าวจริง มิฉะนั้นจำเลยที่ 1 คงไม่ยอมทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเพิ่มเติมโดยเพิ่มวงเงินเป็น 85,000 บาทให้ไว้แก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ. 11 และโจทก์นำสืบต่อไปว่า หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินไปหลายครั้งครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2522 จำเลยที่ 1 ได้ถอนเงินฝากประจำของจำเลยที่ 1 จำนวน 109,803.30 บาท นำเข้าบัญชีกระแสรายวันซึ่งเมื่อหักชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 เบิกเกินบัญชีออกไปแล้ว จำเลยที่ 1 คงค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยในขณะนั้นรวมเป็นเงิน 261,343.21 บาท ปรากฏตามบัญชีเดินสะพัดประจำวันที่ 5 มกราคม 2522 หลังจากนั้นไม่มีการนำเงินเข้าฝากและถอนเงินเพื่อให้บัญชีเดินสะพัดอีกต่อไป โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นเรื่อยมาจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2526 จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่ 551,819.32 บาท ปรากฏตามบัญชีหนี้ค้างนานเอกสารหมาย จ. 15 โจทก์คิดดอกเบี้ย (อย่างไม่ทบต้น) ต่อไปจนถึงวันฟ้องรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 662,712.33 บาท จำเลยที่ 2ที่ 3 ต้องร่วมกันรับผิดตามจำนวนเงินดังกล่าวคนละ 68,074 บาทศาลฎีกาเห็นว่า แม้บัญชีเดินสะพัดและบัญชีหนี้ค้างนานดังกล่าว โจทก์เป็นฝ่ายทำขึ้นเองโดยจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องก็ตาม แต่โจทก์เป็นธนาคารมีหน้าที่จะต้องจัดทำบัญชีและหลักฐานต่างๆ ขึ้นสำหรับลูกค้าของโจทก์ทุกรายเพื่อแสดงยอดเงินฝากและเงินถอนระหว่างโจทก์กับลูกค้าแต่ละรายว่าเป็นหนี้ต่อกันหรือไม่ เพียงใด จึงเชื่อว่ายอดหนี้เงินตามบัญชีเดินสะพัดและบัญชีหนี้ค้างนาน เอกสารหมาย จ. 14 และ จ. 15 โจทก์คิดคำนวณโดยสุจริตในการดำเนินธุรกิจของตนและถูกต้องตรงกับความจริง การที่โจทก์มิได้อ้างเช็คที่จำเลยที่ 1 เบิกเงินไปจากบัญชีมาเป็นพยานต่อศาลนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามบัญชีเดินสะพัดเอกสารหมายจ. 14 จำเลยที่ 1 มิได้ถอนเงินไปจากบัญชีโดยการสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินอย่างเดียว แต่มีรายการโอนและรายการเช็คเคลียริ่งรวมอยู่ด้วย ดังนั้นแม้โจทก์มิได้อ้างเช็คที่จำเลยที่ 1สั่งจ่ายเบิกเงินไปจากบัญชีรวมทั้งใบแจ้งยอดหนี้ประจำเดือนมาเป็นพยานต่อศาลก็ตาม จะฟังเป็นพิรุธถึงกับว่าจำเลยที่ 1 มิได้เป็นหนี้โจทก์ตามบัญชีเดินสะพัด และบัญชีหนี้ค้างนานเอกสารหมาย จ. 14 และ จ. 15 หาได้ไม่ ในเมื่อจำเลยที่ 1 ก็รับว่าได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์จริง คดีฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 662,712.33 บาท จำเลยทั้งสามนำสืบลอยๆ ว่าจำเลยที่ 1 ได้ขอปิดบัญชีเดินสะพัดและจำเลยที่ 2 ที่ 3ได้บอกเลิกสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์แล้ว แต่หาได้มีหลักฐานมาแสดงแต่อย่างใดไม่ จึงรับฟังไม่ได้ ทั้งจำเลยที่ 2ที่ 3 ก็ไม่มีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาค้ำประกันตราบใดที่จำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ นอกจากโจทก์จะยินยอมหรือจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ชำระหนี้ที่ตนจะต้องรับผิดครบถ้วนแล้วเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดีจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดไม่เกินวงเงินที่ค้ำประกันพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปเท่านั้น โจทก์เพิ่งมีหนังสือทวงถามลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2526 ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันภายใน 7 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือทวงถามและจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2526 ปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 8 ถึง 11 จึงต้องชำระหนี้ให้โจทก์ภายในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2526แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ชำระหนี้โจทก์ จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ผิดนัดอันจะต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2526 เป็นต้นไป…’
พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 662,712.33 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน551,819.32 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดในวงเงินคนละ 30,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2526 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 8,000บาท แต่เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ชดใช้เท่าจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี.