คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 815/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้เข้าอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินที่บริษัท ว. ออกให้แก่บริษัท ท. โดยจำเลยในฐานะผู้จัดการของบริษัท ว. ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ว่า หากโจทก์ได้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแล้ว จำเลยยอมชดใช้เงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ต่อมาเมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนด บริษัท ว. ขอยืดเวลาการชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาต่อบริษัท ท. ผู้ทรงออกไปรวม 2 ครั้งโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ใหม่ทั้งสองครั้ง โจทก์ได้เข้าอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับนั้นตามคำขอร้อง ของ บริษัท ว.ครั้นตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับหลังสุดถึงกำหนด โจทก์ได้ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นให้แก่บริษัท ท. ตามที่ได้รับการทวงถามดังนี้ เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับที่ออกใหม่มีมูลหนี้มาจากตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับแรก และตามหนังสือสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำไว้ต่อโจทก์มีใจความว่า จำเลยยอมรับผิดชดใช้เงินที่โจทก์จ่ายไปในการที่โจทก์อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัท ว. ในวงเงินที่กำหนดเท่านั้น หาได้ระบุวันออกตั๋วและวันถึงกำหนดใช้เงินไว้ไม่ อีกทั้งสัญญาค้ำประกันก็ระบุว่าหากโจทก์ผ่อนผันเวลาการชำระหนี้ให้แก่ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำเลยตกลงด้วยในการผ่อนผันเวลาทุกครั้ง โดยโจทก์ไม่ต้องแจ้งให้ทราบก่อน จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในการที่โจทก์เข้ารับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับหลังสุดด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ขอให้โจทก์อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งบริษัทดังกล่าวนำไปขายลดให้แก่บริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัยจำกัด จำเลยและผู้มีชื่อร่วมกันทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ว่า หากโจทก์ได้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแล้ว จำเลยยอมชดใช้เงินให้แก่โจทก์จนครบถ้วนทันที เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดบริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนลไม่สามารถชำระเงินได้ บริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ขอต่ออายุสัญญาตั๋วสัญญาใช้เงินไปอีก 2 ครั้ง ต่อมาเมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับหลังสุดถึงกำหนดบริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ไม่ชำระเงิน โจทก์จึงได้ชำระเงินแทน จำเลยจึงมีหน้าที่ชำระเงินดังกล่าวให้โจทก์ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,259,302.03 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า การที่โจทก์เข้าอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินสองฉบับหลังจำเลยไม่ได้ร่วมรู้เห็นหรือตกลงด้วย เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับแรกได้ระงับลงและถูกยกเลิกจึงไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่าหนังสือสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.7 ที่จำเลยทำไว้ต่อโจทก์เพื่อค้ำประกันในการที่โจทก์เข้ารับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.8 เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้วความรับผิดของจำเลยย่อมสิ้นสุดลงนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.8 ถึงกำหนด บริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ออกตั๋วได้ขอยืดเวลาการชำระหนี้ตามตั๋วนั้นต่อบริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด ผู้ทรงออกไปรวม2 ครั้ง โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ใหม่ตามเอกสารหมาย จ.10และ จ.12 ในการออกตั๋วสัญญาใช้เงินใหม่ทั้งสองครั้งดังกล่าวโจทก์ได้เข้าอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นตามคำขอร้องของบริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมายจ.10, จ.12 มีมูลหนี้มาจากตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.8และตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.7 ข้อ 1กับข้อ 2 ที่จำเลยและนายศุภสิทธิ์ร่วมกันทำไว้กับโจทก์มีใจความว่าจำเลยยอมรับผิดชดใช้เงินที่โจทก์จ่ายไปในการที่โจทก์อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในวงเงิน 8,000,000 บาทเท่านั้น หาได้ระบุวันออกตั๋วและวันถึงกำหนดใช้เงินไว้ไม่ อีกทั้งข้อ 4 หากโจทก์ผ่อนผันเวลาการชำระหนี้ให้แก่ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (บริษัทวิตไทยอินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด) จำเลยและนายศุภสิทธิ์ตกลงด้วยในการผ่อนผันเวลาทุกครั้งโดยโจทก์ไม่ต้องแจ้งให้ทราบก่อน เช่นนี้ จำเลยจึงต้องรับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.7 ต่อโจทก์ในการที่โจทก์เข้ารับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.12 โดยต้องชำระเงินที่โจทก์ได้จ่ายไปตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยซึ่งยังคงเหลืออยู่ตามฟ้อง
พิพากษายืน.

Share