คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 814-815/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ออกจากงานได้รับเงินผลประโยชน์ ซึ่งคำนวณตามกฎข้อบังคับว่าด้วยโครงการกองทุนผลประโยชน์ เมื่อออกจากงานของจำเลยข้อ 12(3) ไปแล้ว โดยต้องหักด้วยจำนวนเงินเท่ากับค่าชดเชยตามกฎหมายออกเสียก่อน ตามข้อ 15(1)(ข) เหลือเท่าใดจึงจ่ายให้แก่ลูกจ้างผู้เป็นสมาชิกตามข้อ 12(1) เช่นนี้ เงินผลประโยชน์ที่โจทก์รับไปนั้นจึงมีค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานรวมอยู่ด้วยครบถ้วนแล้ว หาใช่มีเพียงเงินผลประโยชน์เพียงประเภทเดียวไม่
การที่นายจ้างกับลูกจ้างตกลงกันว่า จำนวนเงินผลประโยชน์ที่ลูกจ้างจะได้รับให้หักด้วยจำนวนเงินเท่ากับค่าชดเชยตามกฎหมายออกเสียก่อน เป็นการตกลงกันในเรื่องเงินผลประโยชน์โดยเฉพาะ ไม่เป็นการหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชย ข้อตกลงดังกล่าวจึงใช้บังคับได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องใจความทำนองเดียวกันว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์ เพราะเหตุครบเกษียณอายุตามระเบียบของจำเลย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์แต่ละสำนวนพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การทั้งสองสำนวนทำนองเดียวกันว่า เมื่อโจทก์ออกจากงานจำเลยได้จ่ายเงินผลประโยชน์และค่าชดเชยตามกฎหมายให้โจทก์รับไปแล้ว เงินผลประโยชน์ที่จำเลยจ่ายให้โจทก์แต่ละสำนวน เมื่อออกจากงานตามกฎข้อบังคับว่าด้วยโครงการกองทุนผลประโยชน์เมื่อออกจากงานของบริษัทจำเลย ข้อ 12(3) โดยจ่ายให้เท่ากับระยะเวลาการทำงานของโจทก์คูณด้วยอัตราผลประโยชน์ แล้วคูณด้วยเงินเดือนครั้งสุดท้ายหักด้วยเงินชดเชยตามที่ระบุไว้ในกฎข้อบังคับดังกล่าวข้อ 15(1)(ข) ส่วนเงินชดเชยคือ เงินเดือนครั้งสุดท้ายที่โจทก์แต่ละสำนวนได้รับคูณด้วย 6 และกฎข้อบังคับดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นจากข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างจำเลยกับลูกจ้างของจำเลยตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 จึงชอบด้วยกฎหมายเมื่อโจทก์ทั้งสองสำนวนได้รับเงินผลประโยชน์และเงินชดเชยไปถูกต้องเรียบร้อยมีจำนวนสูงกว่าค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงานแล้ว จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยซ้ำอีก ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ได้ความว่าเมื่อโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ได้รับเงินซึ่งคำนวณตามกฎข้อบังคับว่าด้วยโครงการกองทุนผลประโยชน์เมื่อออกจากงานของจำเลยข้อ 12(3) ไปแล้วเป็นเงิน 1,287,537.90 บาท และ 690,423.41 บาท ตามลำดับมีปัญหาว่าเงินที่โจทก์ทั้งสองรับไปมีค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานรวมอยู่ด้วยแล้วหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว กฎข้อบังคับว่าด้วยโครงการกองทุนผลประโยชน์ เมื่อออกจากงานของจำเลยข้อ 12 กำหนดว่า “(1) ในกรณีที่สมาชิกออกจากงาน (นอกเหนือไปจากการตายของสมาชิกในระหว่างทำงานหรือถูกไล่ออกจากงานของบริษัทเนื่องจากกระทำความผิดร้ายแรง) ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากกองทุนนี้จะต้องคิดคำนวณตามความในข้อนี้ (ทั้งนี้โดยยอมให้มีการหักเงินออกได้ตามข้อ 15) และจำนวนที่เหลือนั้นจะต้องจ่ายให้แก่สมาชิกดังกล่าว (2) ฯลฯ” ข้อ 15 กำหนดว่า “(1) เงินที่จะต้องหักออกจากเงินผลประโยชน์ที่สมาชิกจะได้รับก็คือ ยอดรวมของเงินจำนวนต่าง ๆ ดังกล่าวต่อไปนี้ (ก) ฯลฯ (ข) เงินผลประโยชน์หรือเงินอื่น ๆ ที่จ่ายไปแล้วหรือที่จะต้องจ่าย โดยบริษัทผู้จ้างหรือหน่วยงานอื่นใด เวลาต่อไปอันเกิดมีขึ้นตามสัญญาหรือข้อตกลงร่วมที่ทำกับสหภาพแรงงานใด ๆ หรือตามโครงการของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐบาลอันเกี่ยวกับเงินประโยชน์หรือเงินบำนาญเมื่อออกจากงาน หรือตามพันธะใด ๆ ทางกฎหมายที่จะต้องจ่ายเงินชดเชยตามอายุงานเพราะเหตุใด ๆ ก็ตาม ฯลฯ” ดังนี้ หมายความว่า เงินผลประโยชน์ที่คำนวณได้ตามข้อ 12(3) นั้น ต้องหักด้วยจำนวนเงินเท่ากับค่าชดเชยตามกฎหมายออกเสียก่อนตามข้อ 15(1)(ข) เหลือเท่าใดจึงจ่ายให้แก่ลูกจ้างผู้เป็นสมาชิกกองทุนตามข้อ 12(1) โจทก์ที่ 1 มีสิทธิได้รับเงินผลประโยชน์คำนวณตามข้อ 12(3) เป็นเงิน 1,287,537.90 บาท เมื่อหักด้วยจำนวนเงินเท่ากับค่าชดเชยที่โจทก์ที่ 1 มีสิทธิได้รับตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน เป็นเงิน 117,390 บาทแล้ว คงมีสิทธิได้รับเงินผลประโยชน์สุทธิ เป็นเงิน 1,170,147.90 บาท โจทก์ที่ 2 มีสิทธิได้รับเงินผลประโยชน์คำนวณตามข้อ 12(3) เป็นเงิน 690,423.41 บาท เมื่อหักด้วยจำนวนเงินเท่ากับค่าชดเชยที่โจทก์ที่ 2 มีสิทธิได้รับตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน เป็นเงิน 75,660 บาทแล้ว คงมีสิทธิได้รับผลประโยชน์สุทธิเป็นเงิน 614,763.41 บาท แต่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 ได้รับเงินจากจำเลยไปแล้วจำนวน 1,287,537.90 บาท และโจทก์ที่ 2 ได้รับเงินจากจำเลยไปแล้วจำนวน 690,423.41 บาท ฉะนั้น เงินที่โจทก์ทั้งสองได้รับไปจึงมีค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน รวมอยู่ครบถ้วนแล้ว หาใช่มีเพียงเงินผลประโยชน์ประเภทเดียวดังโจทก์อุทธรณ์ไม่ ที่โจทก์อ้างว่ากฎข้อบังคับว่าด้วยโครงการกองทุนผลประโยชน์เมื่อออกจากงานของจำเลย เป็นข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเพื่อหลักเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย มีวัตถุประสงค์ที่จะไม่จ่ายค่าชดเชยจึงขัดต่อประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ไม่มีผลผูกพันโจทก์นั้น เห็นว่า เงินผลประโยชน์ตามกฎข้อบังคับว่าด้วยโครงการกองทุนผลประโยชน์เมื่อออกจากงานของจำเลยเป็นเงินที่จำเลยตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้างนอกเหนือไปจากที่นายจ้างต้องจ่ายตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน จำเลยกับลูกจ้างจะตกลงกันให้จ่ายหรือไม่ และถ้าจ่ายจะจ่ายด้วยวิธีการและหลักเกณฑ์อย่างใดก็แล้วแต่จะตกลงกัน การที่จำเลยกับลูกจ้างตกลงกันกำหนดกฎข้อบังคับขึ้นว่า จำนวนเงินผลประโยชน์ที่ลูกจ้างจะพึงได้รับให้หักด้วยจำนวนเงินเท่ากับค่าชดเชยตามกฎหมายออกเสียก่อน เป็นการตกลงกันในเรื่องเงินผลประโยชน์โดยเฉพาะไม่เป็นการหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชยจึงใช้บังคับได้ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองได้รับค่าชดเชยไปแล้วไม่มีสิทธิเรียกร้องซ้ำอีกและพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

พิพากษายืน

Share