แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ลักตัดสร้อยเจ้าทรัพย์รู้สึกตัวหันมาแย่ง จำเลยที่ 2 เข้ามาเอาสร้อยไปจากจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้สมคบกันมาลักทรัพย์นั้น จำเลยที่ 2 ไม่เป็นผิดฐานลักทรัพย์
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลย 2 คนสมคบกันลักทรัพย์ลงโทษตามมาตรา 293 (11) จำคุกคนละ 1 ปีเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 กึ่ง 1 เป็น 1 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์แก้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำผิดด้วย ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ม.288 โทษคงเดิม ปล่อยจำเลยที่ 2 โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงให้ลงโทษจำเลยทั้ง 2 ตามศาลเดิม ศาลฎีการับพิจารณาข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันลักทรัพย์ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์
ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ ๑ ตัดสร้อยที่สรวมที่คอบุตร์เจ้าทรัพย์ ๆ ได้ยินเสียงจึงเหลียวไปดูเห็นจำเลยกำลังหันหลังเดินไป และเห็นกรรไกรกับสร้อยอยู่ที่มือจำเลย จึงเข้าจับมือจำเลยทันที จำเลยเอามือไขว้หลัง แล้วจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นมารดาจำเลยที่ ๑ เข้ามาแกะมือจำเลยที่ ๑ ซึ่งกำสายสร้อยอยู่ จำเลยที่ ๑ เหลียวไปดูเห็นเป็นมารดาจึงปล่อยสร้องให้ไป
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๙๓ ข้อ ๑๑ เพิ่มโทษจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๗๓ เป็นโทษ ๑ ปี ๖ เดือน
จำเลยทั้ง ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ได้สมคบกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ลักทรัพย์มาสำเร็จบริบูรณ์แล้ว ฉะนั้นจำเลยที่ ๒ จะผิดก็ผิดฐานรับของโจรซึ่งโจทก์ไม่ได้ฟ้อง จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตาม มาตรา ๒๘๘ กำหนดโทษคงเดิม ให้ปล่อยจำเลยที่ ๒
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง ๒ ตามศาลชั้นต้น
ศาลฎีการับพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์