คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 813/2547

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลจังหวัดขอให้ห้ามจำเลยและบริวารยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทอันเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แต่เมื่อจำเลยให้การโต้แย้งกรรมสิทธิ์ว่าเป็นของจำเลย จึงเปลี่ยนเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ เมื่อราคาที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทุนทรัพย์ของคดีไม่เกินสามแสนบาท จึงอยู่ในอำนาจศาลแขวง ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งให้โอนคดีไปยังศาลแขวงตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคสี่ ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิตั้งอยู่หมู่ที่ 14 ตำบลดอนทอง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ 14 ไร่ 2 งานเศษเมื่อระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม 2545 ถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2545 โจทก์ว่าจ้างคนงานเข้าไปถางหญ้าและตัดฟันต้นไม้เพื่อปลูกพืชไร่และทำสวนจำเลยได้เข้าไปถ่ายรูป ข่มขู่และห้ามคนงานของโจทก์มิให้เข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยอ้างว่าที่ดินเป็นของจำเลยมิฉะนั้นจะดำเนินคดีทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ทำให้โจทก์และคนงานของโจทก์กลัวไม่กล้าเข้าไปในที่ดิน ทั้งนี้โดยจำเลยมีเจตนาแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย หากโจทก์นำที่ดินออกให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าปีละ 3,000 บาท ขอให้ห้ามมิให้จำเลยพร้อมบริวารยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 3,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะเลิกเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยโดยจำเลยได้หักร้างถางพงและครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาตั้งแต่ปี 2510 โดยปลูกต้นยูคาลิปตัส ต่อมาระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม 2545 ถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2545 โจทก์ได้เข้าตัดทำลายต้นยูคาลิปตัสของจำเลย จำเลยห้ามปรามคนงานของโจทก์มิให้ตัดฟันต้นยูคาลิปตัสของจำเลยเท่านั้น ไม่ได้ข่มขู่โจทก์หรือทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย หากจำเลยนำที่ดินออกให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าปีละ 3,000 บาท ขอให้ยกฟ้องและห้ามมิให้โจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของจำเลย ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายปีละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งไปจนกว่าจะเลิกเกี่ยวข้องกับที่ดินของจำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์และจำเลยแล้วกำหนดราคาที่ดินพิพาทเป็นเงิน47,500 บาท และให้ถือเป็นทุนทรัพย์พิพาทในคดีนี้

ระหว่างนัดสืบพยานจำเลยศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาทซึ่งมีราคา 47,500 บาท อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงพิษณุโลก ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 18 จึงมีคำสั่งให้โอนคดีไปพิจารณาที่ศาลแขวงพิษณุโลกตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคสาม

จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ห้ามจำเลยและบริวารยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท อันเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แต่เมื่อจำเลยให้การโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทว่าเป็นของจำเลยจึงเปลี่ยนเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์เมื่อราคาที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทุนทรัพย์ของคดีไม่เกินสามแสนบาท คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงพิษณุโลก ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งให้โอนคดีไปยังศาลแขวงพิษณุโลกซึ่งคดีอยู่ในเขตอำนาจตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16วรรคสี่ ได้ อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share