คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 813/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขออนุญาตยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 199 นั้นจะต้องเป็นกรณีที่ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา197 วรรคแรกแล้ว จำเลยที่ 2 จึงขออนุญาตยื่นคำให้การก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การไม่ได้
คำร้องของจำเลยที่ 2 บรรยายไว้ชัดว่าจำเลยที่ 2ได้รับหมายเรียก และสำเนาคำฟ้องเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2525และพ้นกำหนดที่จำเลยที่ 2 จะต้องยื่นคำให้การแก้คดีแล้วการที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การ จึงเท่ากับเป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่ จำเลยที่2 ซึ่งกรณีนี้เมื่อศาลสั่งอนุญาตแล้วจึงจะถึงขั้นพิจารณา เกี่ยวกับการสั่งรับหรือไม่รับคำให้การ หากศาลสั่งไม่อนุญาตก็ไม่ต้อง พิจารณาถึงการสั่งรับหรือไม่รับคำให้การต่อไป ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้น ไม่ขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่จำเลยที่ 2 จึงไม่จำต้องสั่งไม่รับ คำให้การของจำเลยที่ 2 ด้วย
คำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การไม่ใช่คำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(5) เพราะไม่ได้ตั้งประเด็น ระหว่างคู่ความฉะนั้นคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลา จึงไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความและเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 2 จะอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นในระหว่างพิจารณาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้สั่งจ่าย และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้สลักหลังให้ร่วมกันรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2525จำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำให้การ
วันที่ 25 ตุลาคม 2525 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่าไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การขอให้อนุญาตให้จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การเมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นคำให้การแล้วและกรณีไม่ใช่เหตุสุดวิสัย จึงมีคำสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยที่ 2 ให้ยกคำร้องเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวแล้ว ในวันเดียวกันนั้นศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การตามคำร้องของโจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ขอให้รับคำให้การหรือสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องเสียก่อนที่จะมีคำสั่งรับหรือไม่รับคำให้การของจำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การขออนุญาตยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลมีคำสั่งว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรคแรกแล้ว ส่วนกรณีนี้เป็นการขออนุญาตยื่นคำให้การก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 2ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 2 จึงยื่นขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 199 ไม่ได้ คำร้องของจำเลยที่ 2 บรรยายไว้ชัดว่า จำเลยที่ 2 ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2525 บัดนี้พ้นกำหนดที่จำเลยที่ 2 จะต้องยื่นคำให้การแก้คดีตามกฎหมายแล้ว การที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การจึงเท่ากับเป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่จำเลยที่ 2ซึ่งกรณีนี้เมื่อศาลสั่งอนุญาตขยายระยะเวลาให้แล้วจึงจะถึงขั้นพิจารณาเกี่ยวกับการสั่งรับหรือสั่งไม่รับคำให้การ หากศาลสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาก็ไม่ต้องพิจารณาถึงการสั่งรับหรือไม่รับคำให้การต่อไป ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นไม่ขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยที่ 2 ด้วย ทั้งคำร้องขอขยายระยะเวลานี้ไม่ใช่คำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(5) เพราะไม่ได้ตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ ฉะนั้นคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีนี้จึงไม่ใช่คำสั่งไม่รับคู่ความ และเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 2 จะอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นในระหว่างพิจารณาไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 2
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาจำเลยที่ 2

Share