คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองร่วมกันนำเฮโรอีนจำนวนหนึ่งออกนอกประเทศ โดยแบ่งแยกกันซุกซ่อนตามร่างกายของจำเลยทั้งสองแล้วนั่งรถแท๊กซี่คันเดียวกันไปยังท่าอากาศยานกรุงเทพเพื่อเดินทางออกนอกประเทศโดยเครื่องบินลำเดียวกัน ถูกจับที่ท่าอากาศยานในเวลาไล่เลี่ยกันขณะอยู่ห่างกัน 40 เมตร ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการร่วมกันกระทำผิดในกรรมเดียวกัน เมื่อจำเลยที่ 2 เคยถูกฟ้องและมีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 2 อีกเป็นฟ้องซ้ำศาลชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เฉพาะตัวจำเลยที่ 2

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 65, 66 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,83, 90 ลงโทษตามมาตรา 66 ซึ่งเป็นบทหนัก ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาในชั้นฎีกาว่า จำเลยที่ 2ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ตามฟ้องโจทก์หรือไม่ โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคนสัญชาติอังกฤษมีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองฮ่องกง เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยจำเลยที่ 2 ได้เช่าห้องพักที่ดุสิตอพาร์ทเมนท์เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2530 หลังจากนั้นประมาณ2-3 วัน จำเลยที่ 1 ได้ไปหาจำเลยที่ 2 ที่ห้องพักหลายครั้งต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2530 เวลา 9 นาฬิกา ขณะจำเลยที่ 2 มาที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ นายสุรชัย กลับประสิทธิ์และนายพิสิษฐ์ฉ่อนเจริญ เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ร่วมกันตรวจค้นตัวจำเลยที่ 2 ก่อนพบเฮโรอีนของกลางซุกซ่อนอยู่ที่ตัวจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 รับว่าจะนำไปประเทศไต้หวันแต่ไม่บอกว่าจะเดินทางไปกับใคร เจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้ทราบจากพนักงานของบริษัทการบินไทย จำกัด ว่าจำเลยที่ 2 จะเดินทางไปกับจำเลยที่ 1 ซึ่งผ่านการตรวจตั๋วโดยสารแล้วกำลังจะไปขึ้นเครื่องบินจึงไปดักจับกุมจำเลยที่ 1 ได้ ค้นจำเลยที่ 1พบเฮโรอีนของกลางซุกซ่อนอยู่ที่ตัวจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็รับว่าจะนำเฮโรอีนไปประเทศไต้หวันเช่นเดียวกัน จำเลยที่ 1 ที่ 2กำลังจะเดินทางออกจากประเทศไทยไปยังประเทศไต้หวันโดยเครื่องบินตามเอกสารการเดินทางและตั๋วโดยสารเครื่องบินเอกสารหมาย จ.3 และจ.4 ข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ได้มีการติดต่อกับจำเลยที่ 2 ก่อนเกิดเหตุโดยไปหาที่ห้องพักของจำเลยที่ 2หลายครั้ง และการที่จำเลยทั้งสองต่างให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนว่าได้ร่วมกันเพื่อพาเฮโรอีนออกนอกประเทศโดยแบ่งแยกหน้าที่กันทำกล่าวคือ จำเลยที่ 1 นำติดตัวไป 3 ก้อน จำเลยที่ 2 นำติดตัวไป9 ก้อน แล้วพากันขึ้นรถแท็กซี่ไปยังท่าอากาศยานกรุงเทพพร้อมกันดังโจทก์ฎีกา รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ได้ความจากนายพิสิษฐ์ฉ่อนเจริญ นายตรวจศุลกากร 4 ผู้ทำการตรวจค้นจำเลยทั้งสองที่ท่าอากาศยานกรุงเทพว่า ลักษณะของเฮโรอีนที่ซุกซ่อนมีลักษณะอันเป็นแท่งไล่เลี่ยกันห่อหุ้มด้วยพลาสติกใสและใช้เทปกาวพันกับร่างกายในลักษณะเหมือนกันและจากการตรวจสอบเอกสารหนังสือเดินทางกับตั๋วเครื่องบินปรากฏว่าจำเลยทั้งสองกำลังจะเดินทางไปประเทศไต้หวันโดยสายการบินไทยเที่ยว ทีจี 630 เที่ยวเดียวกัน การตรวจค้นและจับได้ก็อยู่ในเวลาไล่เลี่ยกัน เป็นแต่เพียงจำเลยที่ 2 ถูกจับที่ห้องผู้โดยสารขาออกหลังจากทำการตรวจเอกสารต่าง ๆ จากพนักงานสายการบินแล้ว ส่วนจำเลยที่ 1 จับได้โดยทราบจากพนักงานการบินไทยว่าคนทั้งสองมาด้วยกัน นายพิสิษฐ์จึงตามไปจับขณะผ่านการตรวจประทับตราหนังสือเดินทางจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแล้ว จุดที่จับก็ห่างกันเพียง 40 เมตร พฤติการณ์ดังกล่าวแล้วนี้ล้วนแสดงชัดว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเพื่อจะนำเฮโรอีนออกนอกประเทศดังโจทก์ฎีกาแต่การกระทำของจำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมกันกระทำผิดในการกระทำดังกล่าวครั้งคราวเดียวกัน กล่าวคือจำเลยทั้งสองร่วมกันเพื่อจะนำเฮโรอีนจำนวนเดียวกันออกนอกประเทศ เพียงแต่แบ่งแยกหน้าที่กันซุกซ่อนโดยจำเลยที่ 1 นำไปซุกซ่อนในร่างกาย 3 ก้อน ส่วนจำเลยที่ 2 นำไปซุกซ่อนในร่างกาย 9 ก้อน จำเลยทั้งสองหาได้ต่างคนต่างมีเจตนาที่จะร่วมกันนำเฮโรอีนแต่ละจำนวนออกนอกประเทศไม่ เมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการร่วมกันกระทำผิดในกรรมเดียวกันเช่นนี้การที่จำเลยที่ 2 ถูกโจทก์ฟ้องและมีคำพิพากษาถึงที่สุดในกรรมที่ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ไปแล้ว ปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่4113/2530 ของศาลชั้นต้น คดีของโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2 นี้ จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)เพราะเหตุได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้วชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เฉพาะตัวจำเลยที่ 2 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share