แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในเรื่องหาว่าเจ้าพนักงานยักยอกเงินในตำแหน่งหน้าที่จำเลยต่อสู้และจะขอสืบพยานว่าเป็นการนอกหน้าที่และตามคำสั่งที่ให้จำเลยไปช่วยราชการไม่กินความถึงการนำส่งเงินที่โจทย์ฟ้องดังนี้ ควรอนุญาตให้จำเลยสืบพยานได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นปลัดอำเภอไปช่วยราชการแผนกมหาดไทย จำเลยได้รับเงินครั้งแรก ๑๓๕ บาท ๐๕ สตางค์ และครั้งหลังอีก ๑๐๐ บาท ๑๐ สตางต์เพื่อไปจัดการตามหน้าที่จำเลยกลับเจตนาทุจริตยักยอกเงินนั้นเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ได้หนึ่งปากแล้วเรียกคำให้การชั้นสอบสวนของพยานบางคนมาประกอบคำวินิจฉัย ฝ่ายจำเลยขอสืบในข้อที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการนอกหน้าที่ราชการและคำสั่งให้จำเลยไปช่วยราชการนั้น ไม่กินความถึงหน้าที่ในการนำส่งเงินไปรษณีย์ด้วย แต่ศาลเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยชี้ขาดได้แล้ว จึงงดสืบพยานแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ๒ กะทงตามมาตรา ๓๑๙ (๓) ให้จำคุกกะทงละ ๒ ปี
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะให้นับโทษ ๒ กะทงซึ่งต้องหากะทงละคดีต่อเนื่องกันไป นอกนั้นยืน
จำเลยฎีกาว่า ศาลงดสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยให้การปฏิเสธและเฉพาะคดีนี้มีเหตุควรรู้ข้อเท็จจริงต่อไปศาลจึงควรสืบพยานจำเลยให้สิ้นกระแสความก่อนชี้ขาดความผิดของจำเลยจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นให้โอกาสคู่ความนำสืบพยานต่อไป แล้วพิพากษาตามรูปคดี