แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกที่จำเลยเช่าให้แก่บุตรในภายหลังโดยโจทก์ยังสงวนสิทธิเก็บกินไว้ต่อไปจนตลอดชีวิต ผู้ทรงสิทธิเก็บกินเช่นโจทก์นี้ ตามกฎหมายย่อมมีสิทธิครอบครองใช้และถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งที่ดินและตึกนั้นได้แต่ผู้เดียวเจ้าของกรรมสิทธิ์หามีสิทธิเช่นว่านี้ด้วยไม่ในระหว่างที่สิทธิเก็บกินยังไม่สิ้นไปโจทก์จึงมีสิทธิจะจัดให้เช่าตึกหลังนี้เพื่อเก็บเอาประโยชน์จากการเช่าได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิเก็บกินในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรายพิพาทซึ่งเดิมเป็นของโจทก์กับพระยาศรีวิกรมาทิตย์ต่อมาได้ยกกรรมสิทธิ์ให้บุตรโจทก์สามคน แต่ให้โจทก์มีสิทธิเก็บกินไปจนตลอดชีวิต จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินแปลงนี้จากพระดุลยรัตนพจนาท ตัวแทนของโจทก์มีกำหนดเวลาเช่า1 ปี ค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท ใช้เป็นที่ประกอบกิจการค้าสิ้นกำหนดเวลาเช่าแล้ว ไม่มีการทำสัญญาต่อแต่จำเลยชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนเรื่อยมาต่อมาโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่า ให้เวลาจำเลยคืนตึกเช่าแก่โจทก์ภายใน 30 วัน แต่จำเลยก็หาจัดการคืนตึกเช่าให้โจทก์ไม่ จึงขอให้ศาลขับไล่จำเลยและบริวาร และให้จำเลยชำระเงินค่าเช่าที่ค้าง
จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ จำเลยเช่าตึกพิพาทจากตัวแทนของพระยาศรีวิกรมาทิตย์ โจทก์มิได้เป็นคู่สัญญาด้วย จำเลยไม่เคยได้รับบอกกล่าวเลิกการเช่าและจำเลยไม่เคยผิดนัด ทั้งโจทก์ได้รับเงินประกันความเสียหายในการเช่าจากจำเลย 20,000 บาทถ้าจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระ โจทก์ก็ชอบที่จะคิดหักเอาจากเงินจำนวนนี้ได้อยู่แล้วจึงขอให้ยกฟ้อง
เมื่อศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยได้ออกจากตึกเช่าไปและส่งมอบกุญแจตึกให้แก่โจทก์ในวันที่ศาลนัดสอบ พร้อมกันและแถลงไม่ติดใจสืบพยานจำเลยศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องได้จึงพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ข้อวินิจฉัยของศาลฎีกาที่เกี่ยวกับข้อกฎหมายมีดังนี้
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยทำสัญญาเช่าตึกกับพระดุลยรัตนพจนาทก็เท่ากับเช่าจากพระยาศรีวิกรมาทิตย์และโจทก์ด้วย ฐานะอันแท้จริงของพระดุลยรัตนพจนาตามสัญญาเช่าก็คือตัวแทนเจ้าของตึกที่เช่าทั้งหลัง โจทก์เป็นเจ้าของตึกด้วย จึงกล่าวไม่ได้ว่าโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลยในการให้เช่าตึกพิพาท แม้จำเลยก็คงเข้าใจเช่นนี้มาก่อน จึงได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์ตลอดมา การที่โจทก์ยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกให้แก่บุตรไปแล้ว โจทก์ยังสงวนสิทธิเก็บกินไว้เป็นของโจทก์ต่อไปจนตลอดชีวิต และผู้ทรงสิทธิเก็บกินเช่นโจทก์นี้ตามกฎหมายย่อมมีสิทธิครอบครองใช้และถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งที่ดินและตึกหลังนี้ได้แต่ผู้เดียว เจ้าของกรรมสิทธิ์หามีสิทธิเช่นว่านี้ด้วยไม่ในระหว่างที่สิทธิเก็บกินยังไม่สิ้นไปโจทก์จึงมีสิทธิจะจัดให้เช่าตึกหลังนี้เพื่อเก็บเอาประโยชน์จากการเช่าได้ การเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งมีอยู่ต่อกันในฐานะโจทก์เป็นเจ้าของตึกก็ย่อมคงมีอยู่ต่อมาในฐานะโจทก์เป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกิน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ฐานะของโจทก์ในการเป็นผู้ให้เช่านั้น ไม่มีอะไรมาทำให้เปลี่ยนแปลงไป โจทก์ยังคงเป็นผู้ให้เช่าอยู่นั่นเอง หาใช่บุตรโจทก์ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นผู้ให้เช่าไม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยซึ่งอยู่ในฐานะผู้เช่าได้ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืน