แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
หนี้เงินต้นตามจำนวนในเช็ค 22,750,000 บาท เป็นหนี้ที่มาจากเจ้าหนี้ซึ่งมีความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ของลูกหนี้และได้ชำระหนี้ดังกล่าวแทนลูกหนี้ไปแล้วก่อนวันที่ลูกหนี้ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเจ้าหนี้มิได้นำไปขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จนกระทั่งศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายของลูกหนี้ ซึ่งการประนอมหนี้ดังกล่าวผูกมัดเจ้าหนี้ทั้งหมดในเรื่องหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระได้ ย่อมมีผลผูกพันหนี้เดิมของเจ้าหนี้ที่ได้ชำระหนี้แทนลูกหนี้นั้นและมีผลให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้ดังกล่าวเท่านั้น แต่เมื่อภายหลังลูกหนี้หลุดพ้นจากภาวะล้มละลายแล้ว ลูกหนี้ได้ทำหนังสือให้แก่เจ้าหนี้ โดยตกลงยอมชำระหนี้เงินต้นจำนวนในเช็ค 22,750,000 บาท จึงเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นด้วยความสมัครใจมุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์กับเจ้าหนี้และมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ตามกฎหมาย
ข้อตกลงเกี่ยวกับดอกเบี้ยที่ลูกหนี้จะชำระให้แก่เจ้าหนี้อัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับจากวันที่ 24 เมษายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จ เป็นข้อตกลงให้ดอกเบี้ยย้อนหลังแก่เจ้าหนี้ไปถึงวันที่ลูกหนี้สั่งจ่ายเช็คดังกล่าวมอบให้แก่เจ้าหนี้เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2532 ซึ่งอยู่ในระหว่างที่ลูกหนี้อยู่ในภาวะล้มละลาย เป็นการถือเอาเช็คที่ลูกหนี้สั่งจ่ายมอบให้แก่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นโมฆะมาเป็นมูลเรียกดอกเบี้ยจากลูกหนี้ ข้อตกลงในเรื่องดอกเบี้ยส่วนนี้จึงตกเป็นโมฆะเช่นกัน แต่ตามพฤติการณ์คู่กรณีมีเจตนาจะให้ส่วนเงินต้นที่ลูกหนี้จะใช้คืนให้แก่เจ้าหนี้จำนวน 22,750,000 บาท ที่สมบูรณ์แยกออกจากข้อตกลงในเรื่องดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 173 เจ้าหนี้จึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้เฉพาะส่วนนี้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) เด็ดขาดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2544
เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้เงินยืมและอาวัลจำนวน 100,687,500 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 104 แล้ว ปรากฏว่าลูกหนี้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วเสนอความเห็นว่าควรยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้เสียทั้งสิ้นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 107 (1)
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวน
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และลูกหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
เจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามทางสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ได้ความว่า ในปี 2523 ถึงปี 2529 เจ้าหนี้ได้ชำระหนี้แทนลูกหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ของลูกหนี้ตามเช็คที่ลูกหนี้สั่งจ่ายและเจ้าหนี้หรือภริยาเจ้าหนี้สลักหลังหลายครั้ง และเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2529 ลูกหนี้ถูกศาลจังหวัดนนทบุรีมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.28/2529 ระหว่าง นายเชาว์ โจทก์ นายอนันต์ จำเลย เจ้าหนี้มิได้นำมูลหนี้ดังกล่าวไปขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ระหว่างที่ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2532 ลูกหนี้ได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาราชดำเนิน โดยไม่ลงวันที่สั่งจ่ายจำนวนเงิน 22,750,000 บาท ให้แก่เจ้าหนี้ ตามเอกสารหมาย จ.3 ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จนกระทั่งวันที่ 27 เมษายน 2533 ศาลจังหวัดนนทบุรีมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายของลูกหนี้ และมีคำสั่งอนุญาตปิดคดีเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2538 เนื่องจากลูกหนี้ชำระหนี้ตามข้อตกลงประนอมหนี้เสร็จสิ้นแล้ว ต่อมาวันที่ 24 เมษายน 2542 ลูกหนี้ได้ทำหนังสือมีข้อตกลงว่าจะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้เป็นต้นเงินตามเช็คเอกสารหมาย จ.3 ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับจากวันที่ 24 เมษายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยที่ลูกหนี้จะชำระคืนจนถึงวันที่ 24 เมษายน 2542 เป็นเงิน 72,250,000 บาท โดยลูกหนี้จะชำระหนี้ทั้งหมดให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2542 ตามเอกสารหมาย จ.4 ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แต่ลูกหนี้ไม่ชำระ เจ้าหนี้จึงลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คเอกสารหมาย จ.3 แล้วนำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เจ้าหนี้ได้ทวงถามลูกหนี้ให้ชำระหนี้ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.4 และเช็คเอกสารหมาย จ.3 ดังกล่าวหลายครั้ง ลูกหนี้เพิกเฉย เจ้าหนี้จึงนำหนี้ดังกล่าวมาเป็นมูลฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเป็นคดีนี้
พิเคราะห์แล้ว ที่เจ้าหนี้ฎีกาว่า มูลหนี้ตามเช็คที่ลูกหนี้สั่งจ่ายตามเอกสารหมาย จ.3 ให้แก่เจ้าหนี้เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2532 มิใช่มีมูลหนี้ทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.28/2529 ของศาลจังหวัดนนทบุรี ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนั้น เห็นว่า ตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของเจ้าหนี้และคำให้การของเจ้าหนี้ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกมาสอบสวนเพิ่มเติมนั้นไม่ปรากฏว่าเจ้าหนี้ให้ถ้อยคำและให้การในรายละเอียดของหนี้จำนวน 22,750,000 บาท ว่ามูลหนี้ดังกล่าวแบ่งได้เป็น 4 ช่วงเวลา ดังที่เจ้าหนี้อ้างมาในฎีกาแต่ประการใด ฎีกาของเจ้าหนี้จึงอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่นอกเหนือจากที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 28 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาตามฎีกาของเจ้าหนี้ที่ว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า แม้เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้เงินยืมและอาวัล แต่เจ้าหนี้ได้ให้การสอบสวนถึงที่มาในเรื่องหนี้สินดังกล่าวตลอดจนอ้างส่งหลักฐานประกอบหนี้ที่ขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งตามทางสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ความว่า หนี้ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้มีหนังสือเอกสารหมาย จ.4 ในสำนวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นหลักฐานซึ่งลูกหนี้ได้ทำไว้ให้แก่เจ้าหนี้เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2542 มีข้อความว่า ตามที่เจ้าหนี้ได้รับภาระใช้หนี้แทนลูกหนี้นั้น ลูกหนี้ยินยอมชำระหนี้คืนให้เจ้าหนี้เป็นเงินต้นจำนวน 22,750,000 บาท ตามเช็คหมายเลขที่ 2499387 ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาราชดำเนิน พร้อมทั้งดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้ได้จ่ายแทนให้อัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับจากวันที่ 24 เมษายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยที่ลูกหนี้จะชำระคืนจนถึงวันที่ 24 เมษายน 2542 เป็นเงิน 72,250,000 บาท โดยลูกหนี้จะชำระหนี้ทั้งหมดให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2542 และลงลายมือชื่อของลูกหนี้ไว้ เอกสารดังกล่าวลูกหนี้ได้ทำขึ้นภายหลังเมื่อลูกหนี้หลุดพ้นจากภาวะล้มละลายในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.28/2529 ของศาลจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2533 แล้ว เนื่องจากศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายของลูกหนี้ แม้ตามทางสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ความว่า หนี้เงินต้นตามจำนวนในเช็ค 22,750,000 บาท ดังกล่าว มีมูลหนี้มาจากเจ้าหนี้ซึ่งมีความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ของลูกหนี้และได้ชำระหนี้ดังกล่าวแทนลูกหนี้ไปแล้วก่อนวันที่ลูกหนี้ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.28/2529 ของศาลจังหวัดนนทบุรี และเจ้าหนี้มิได้นำหนี้ดังกล่าวไปขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จนกระทั่งศาลจังหวัดนนทบุรีมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายของลูกหนี้ ซึ่งการประนอมหนี้ดังกล่าวผูกมัดเจ้าหนี้ทั้งหมดในเรื่องหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระได้ แต่ก็มีผลผูกพันหนี้เดิมของเจ้าหนี้ได้ชำระหนี้แทนลูกหนี้นั้นและมีผลให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้ดังกล่าวเท่านั้น แต่เมื่อภายหลังลูกหนี้หลุดพ้นจากภาวะล้มละลายแล้ว ลูกหนี้ได้ทำหนังสือเอกสารหมาย จ.4 ดังกล่าวให้แก่เจ้าหนี้ โดยตกลงยอมชำระหนี้เงินต้นจำนวนในเช็ค 22,750,000 บาท ที่ลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้อยู่จริงและลูกหนี้ยังมิได้ชำระคืนให้แก่เจ้าหนี้ หนังสือเอกสารหมาย จ.4 จึงเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นด้วยความสมัครใจมุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์กับเจ้าหนี้ว่าจะใช้เงินคืนแก่เจ้าหนี้และมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ตามกฎหมาย มิใช่เป็นเอกสารรับสภาพหนี้ตามเช็คธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาราชดำเนิน ที่ลูกหนี้สั่งจ่ายมอบให้แก่เจ้าหนี้ในระหว่างที่ลูกหนี้ยังอยู่ในภาวะล้มละลายอันเป็นการกระทำเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 24 ซึ่งตกเป็นโมฆะดังความเห็นของศาลอุทธรณ์ไม่ แต่ข้อตกลงเกี่ยวกับดอกเบี้ยที่ลูกหนี้จะชำระให้แก่เจ้าหนี้อัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับจากวันที่ 24 เมษายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จ ตามเอกสารหมาย จ.4 ดังกล่าวเป็นข้อตกลงให้ดอกเบี้ยย้อนหลังแก่เจ้าหนี้ไปถึงวันที่ลูกหนี้สั่งจ่ายเช็คมอบให้แก่เจ้าหนี้เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2532 ซึ่งอยู่ในระหว่างที่ลูกหนี้อยู่ในภาวะล้มละลาย ข้อตกลงดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าเป็นการถือเอาเช็คที่ลูกหนี้สั่งจ่ายมอบให้แก่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นโมฆะมาเป็นมูลเรียกดอกเบี้ยจากลูกหนี้ ข้อตกลงในเรื่องดอกเบี้ยส่วนนี้ จึงตกเป็นโมฆะ เช่นกันและตามพฤติการณ์แห่งกรณี คู่กรณีมีเจตนาจะให้ส่วนเงินต้นที่ลูกหนี้จะใช้คืนให้แก่เจ้าหนี้จำนวน 22,750,000 บาท ที่สมบูรณ์ดังกล่าวแยกออกจากข้อตกลงในเรื่องดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะตามประกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 เจ้าหนี้จึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้เงินต้นจำนวน 22,750,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2542 อันเป็นวันครบกำหนดตามหนังสือเอกสารหมาย จ.4 จนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้เสียทั้งสิ้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของเจ้าหนี้ฟังขึ้นบางส่วน เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ปัญหาอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย”
พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จำนวน 22,750,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2542 จนถึงวันที่ 12 มีนาคม 2544 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 130 (7) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ