แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 180,000 บาท และแก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 198,000 บาท โดยบรรยายฟ้องอุทธรณ์ว่าโจทก์ที่ 2 ขอถือทุนทรัพย์ในศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นเงิน 180,000 บาท ส่วนโจทก์ที่ 3 ขอถือทุนทรัพย์ในศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นเงิน 198,000 บาท จึงรับฟังได้ว่าค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวเป็นทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 เรียกร้องขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาเพิ่มขึ้นจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บางส่วนแล้ว ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 300,000 บาท และแก่โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 330,000 บาท จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมชำระเงิน 800,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 180,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 และชำระเงิน 198,000 บาท แก่โจทก์ที่ 3 กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่ชนะคดี ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 และให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 และที่ 3 สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยทั้งสามและระหว่างโจทก์ที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 300,000 บาท แก่โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 330,000 บาท แต่จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดไม่เกิน 500,000 บาท ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 เฉพาะค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 7,000 บาท ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยทั้งสามให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “โจทก์ที่ 1 เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางดาราทิพย์ ผู้ตาย โจทก์ที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรโจทก์ที่ 1 กับผู้ตาย ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ตู้โดยสารด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง เมื่อถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 152 ถึง 153 ถนนพหลโยธิน รถยนต์ตู้โดยสารคันเกิดเหตุเสียหลักพุ่งลงร่องกลางถนนและชนกับต้นไม้เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างและเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ตู้คันเกิดเหตุ จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ตู้คันเกิดเหตุตามตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาเกินคำขอของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 หรือม่ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่าโจทก์ที่ 2 ขอค่าเสียหายเป็นทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสามชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 180,000 บาท แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กลับพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงินถึง 300,000 บาท เกินกว่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 2 ขอในชั้นอุทธรณ์เป็นเงินถึง 120,000 บาท และโจทก์ที่ 3 เรียกค่าเสียหายเป็นทุนทรัพย์ 198,000 บาท แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กลับพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินแก่โจทก์ที่ 3 เป็นเงินถึง 330,000 บาท เกินกว่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 3 ขอเป็นเงินถึง 132,000 บาท นั้น เห็นว่า แม้อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 บรรยายว่า ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 180,000 บาท และแก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 198,000 บาท ก็ตาม แต่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 บรรยายฟ้องอุทธรณ์ด้วยว่า โจทก์ที่ 2 ขอถือทุนทรัพย์ในศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นเงิน 180,000 บาท ส่วนโจทก์ที่ 3 ขอถือเงินจำนวน 198,000 บาท เป็นทุนทรัพย์ที่เรียกร้องเพิ่มไปจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 300,000 บาท และแก่โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 330,000 บาท นั้น ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ข้อต่อไปว่า จำเลยที่ 3 ชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาลและค่าปลงศพของนางดาราทิพย์ ให้แก่โจทก์ทั้งสามเป็นเงิน 180,000 บาท ขอให้นำจำนวนเงินดังกล่าวหักออกจากค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยทั้งสามต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 และที่ 3 นั้น เป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ