แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้เช่านาฟ้องขอให้จำเลยทั้งเจ็ดในฐานะผู้รับโอนขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่นาที่โจทก์ทั้งสองได้เช่าทำนาให้โจทก์ทั้งสองในขณะที่ยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่จำเลยทั้งเจ็ดมีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลที่วินิจฉัยให้จำเลยทั้งเจ็ดโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯมาตรา56,58จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องและเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาชอบที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
ย่อยาว
โจทก์ ทั้ง สอง ฟ้อง ว่า โจทก์ ทั้ง สอง เป็น ผู้เช่า ที่ดินพิพาท โฉนดเลขที่ 8081 จาก นาง วิภา เพื่อ ทำนา ปลูก ข้าว ก่อน พระราชบัญญัติ การเช่าที่ดิน เพื่อ เกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ใช้ บังคับ ต่อมา วันที่19 มกราคม 2531 นาง วิภา ได้ ขาย ที่ดินพิพาท ดังกล่าว ให้ แก่ จำเลย ทั้ง เจ็ด โดย จดทะเบียน ซื้อ ขาย ใน ราคา 1,074,600 บาท การ ขาย ที่ดินพิพาท ดังกล่าว นาง วิภา ไม่ได้ แจ้ง ให้ แก่ โจทก์ ทั้ง สอง ทราบ ก่อน โจทก์ ทั้ง สอง ได้ ยื่น เรื่องราว ต่อ คณะกรรมการ การเช่าที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม ประจำ ตำบล ข้าว งาม ให้ ดำเนินการ ให้ จำเลย ทั้ง เจ็ดโอน ขาย ที่ดินพิพาท ให้ แก่ โจทก์ ทั้ง สอง เมื่อ วันที่ 28 มีนาคม 2531คณะกรรมการ การเช่าที่ดิน เพื่อ เกษตรกรรม ประจำ ตำบล ข้าว งาม มี มติ ให้จำเลย ทั้ง เจ็ด ขาย ที่ดินพิพาท ให้ แก่ โจทก์ ทั้ง สอง ใน ราคา 1,074,600 บาทแต่ จำเลย ทั้ง เจ็ด ไม่ยินยอม ขอให้ บังคับ จำเลย ทั้ง เจ็ด โอน ขายที่ดินพิพาท ให้ แก่ โจทก์ ทั้ง สอง หาก ไม่สามารถ ไป ดำเนินการ เอง ได้โจทก์ ทั้ง สอง ขอ ถือเอา คำพิพากษา ของ ศาล เป็น การแสดง เจตนา แทน จำเลยทั้ง เจ็ด ขอให้ จำเลย ทั้ง เจ็ด รับ เงิน จำนวน 1,074,600 บาท ไป จากโจทก์ ทั้ง สอง
จำเลย ทั้ง เจ็ด ให้การ และ แก้ไข คำให้การ ว่า โจทก์ ทั้ง สอง ไม่ใช่ผู้เช่า นา ไม่มี สิทธิ ฟ้อง จำเลย ทั้ง เจ็ด ได้ จำเลย ทั้ง เจ็ด ซื้อ ที่ดินพิพาท ราคา 2,506,000 บาท โจทก์ ทั้ง สอง ไม่เคย แสดง ความจำนง ต่อจำเลย ทั้ง เจ็ด ว่า จะซื้อ ที่ดินพิพาท และ โจทก์ ทั้ง สอง ได้ แสดง ความจำนงไม่ ซื้อ ที่ดินพิพาท ต่อ ประธาน คณะกรรมการ การเช่าที่ดิน เพื่อ เกษตรกรรมตำบล ข้าว งาม แล้ว มติ ที่ ประชุม ของ คณะกรรมการ การเช่าที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม ตำบล ข้าว งาม ไม่ถูกต้อง เพราะ จำเลย ทั้ง เจ็ด ไม่ได้ร่วม ประชุม ด้วย และ ไม่ได้ แจ้ง มติ ดังกล่าว ให้ จำเลย ทั้ง เจ็ด ทราบ ด้วยราคา ตลาด ขณะ นั้น ที่ดินพิพาท ซื้อ ขาย กัน ไร่ ละ 60,000 บาท ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า ให้ จำเลย จดทะเบียน ขาย ที่ดิน โฉนดเลขที่ 8081 ตำบล ข้าวงาม อำเภอวังน้อย (พระราชวัง) จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ให้ แก่ โจทก์ ที่ สำนักงาน ที่ดิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภายใน 7 วัน นับ ตั้งแต่ วันที่ ศาล มี คำพิพากษาหาก จำเลย ไม่สามารถ ไป ดำเนินการ ด้วย ตนเอง ได้ โจทก์ ขอ ถือเอาคำพิพากษา ของ ศาล เป็น การแสดง เจตนา แทน จำเลย ให้ โจทก์ ดำเนินการไป ได้ ฝ่ายเดียว กับ ให้ จำเลย รับ เงิน จำนวน 2,506,000 บาท ไป จากโจทก์ เป็น ค่าซื้อ ที่ดิน แปลง นี้ ด้วย
จำเลย ทั้ง เจ็ด อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์ ทั้ง สอง
โจทก์ ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “เห็นว่า กรณี พิพาท ระหว่าง โจทก์ ทั้ง สอง กับจำเลย ทั้ง เจ็ด เกี่ยวกับ การ ให้ โอน ขาย ที่ดินพิพาท เป็น การ พิพาท กันใน ข้อ ที่ ว่า โจทก์ ทั้ง สอง ใน ฐานะ ผู้เช่า นา มีสิทธิ ให้ จำเลย ทั้ง เจ็ด ในฐานะ ผู้รับโอน ขาย ที่ดินพิพาท ซึ่ง เป็น ที่นา ที่ โจทก์ ทั้ง สอง ได้ เช่าทำนา ให้ โจทก์ ทั้ง สอง ตาม พระราชบัญญัติ การเช่าที่ดิน เพื่อ เกษตรกรรมพ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง หรือไม่ ใน ข้อ นี้ ตาม พระราชบัญญัติการเช่าที่ดิน เพื่อ เกษตรกรรม พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคสอง บัญญัติว่า ถ้า ผู้รับโอน ตาม วรรคหนึ่ง ไม่ยอม ขาย นา ให้ แก่ ผู้เช่า นา ผู้เช่า นาจะ ร้องขอ ต่อ คณะกรรมการ การเช่าที่ดิน เพื่อ เกษตรกรรม ประจำ ตำบลเพื่อ ให้ ผู้ นั้น ขาย นา ได้ เมื่อ คณะกรรมการ การเช่าที่ดิน เพื่อ เกษตรกรรมประจำ ตำบล วินิจฉัย อย่างไร แล้ว ตาม มาตรา 56 วรรคหนึ่ง บัญญัติ ว่าคู่กรณี อาจ อุทธรณ์ คำวินิจฉัย ของ คณะกรรมการ การเช่าที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม ประจำ ตำบล ต่อ คณะกรรมการ การเช่าที่ดิน เพื่อ เกษตรกรรมประจำจังหวัด ได้ โดย ทำ เป็น หนังสือ ยื่น ต่อ ประธาน คณะกรรมการ การ เช่าที่ดิน เพื่อ เกษตรกรรม ประจำ ตำบล ภายใน กำหนด 30 วัน นับแต่ วันที่ ทราบคำวินิจฉัย ของ คณะกรรมการ การเช่าที่ดิน เพื่อ เกษตรกรรม ประจำ ตำบลแต่ ต้อง ไม่เกิน 60 วัน นับแต่ วันที่ คณะกรรมการ การเช่าที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม ประจำ ตำบล มี คำวินิจฉัย และ วรรคสอง บัญญัติ ว่า คำวินิจฉัย ของ คณะกรรมการ การเช่าที่ดิน เพื่อ เกษตรกรรม ประจำ ตำบล ที่ มิได้อุทธรณ์ ตาม วรรคหนึ่ง ให้ เป็น ที่สุด ซึ่ง คำวินิจฉัย ถึงที่สุด ดังกล่าวนี้ ใน กรณี ที่ มี การ ฝ่าฝืน หรือไม่ ปฏิบัติ ตาม ตาม มาตรา 58 วรรคหนึ่งผู้มีส่วนได้เสีย ชอบ ที่ จะ ร้องขอ ต่อ ศาล ให้ บังคับ การ ให้ เป็น ไป ตามคำวินิจฉัย ดังกล่าว ดุจ เป็น คำชี้ขาด ของ อนุญาโตตุลาการ แต่ ตาม ฟ้องของ โจทก์ ทั้ง สอง ปรากฏว่า คณะกรรมการ การเช่าที่ดิน เพื่อ เกษตรกรรมประจำ ตำบล ข้าว งาม ได้ วินิจฉัย เมื่อ วันที่ 28 มีนาคม 2531 ให้ จำเลยทั้ง เจ็ด โอน ขาย ที่ดินพิพาท ให้ แก่ โจทก์ ทั้ง สอง ตาม คำร้องขอ งโจทก์ทั้ง สอง แต่ ครั้น ต่อมา วันที่ 15 เมษายน 2531 โจทก์ ทั้ง สอง ได้ ฟ้องจำเลย ทั้ง เจ็ด เป็น คดี นี้ ต่อ ศาล เช่นนี้ เห็นว่า โจทก์ ทั้ง สอง ฟ้องคดี ในขณะที่ ยัง ไม่ พ้น กำหนด เวลา ที่ จำเลย ทั้ง เจ็ด ซึ่ง เป็น ผู้มีสิทธิ อุทธรณ์คัดค้าน คำวินิจฉัย ของ คณะกรรมการ การเช่าที่ดิน เพื่อ เกษตรกรรมประจำ ตำบล ข้าว งาม หรือ โจทก์ ทั้ง สอง ฟ้องคดี ใน ขณะที่ คำวินิจฉัยของ คณะกรรมการ การเช่าที่ดิน เพื่อ เกษตรกรรม ประจำ ตำบล ดังกล่าวยัง ไม่เป็นที่สุด จึง ถือได้ว่า การ ฟ้องคดี ของ โจทก์ ทั้ง สอง เป็น การ ฟ้องคดี โดย ไม่ปฏิบัติ ตาม บทบัญญัติ แห่ง พระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม พ.ศ. 2524 กำหนด ไว้ โจทก์ จึง ยัง ไม่มี อำนาจฟ้องและ เรื่อง อำนาจฟ้อง นั้น เป็น ข้อกฎหมาย อัน เกี่ยว ด้วย ความสงบ เรียบร้อยของ ประชาชน แม้ จำเลย ทั้ง เจ็ด มิได้ ยกขึ้น เป็น ข้อต่อสู้ หรือ กล่าว แก้ฎีกา ศาลฎีกา ก็ ชอบ ที่ จะ หยิบยก ขึ้น วินิจฉัย ได้ สำหรับ ฎีกา ข้อ อื่นของ โจทก์ ทั้ง สอง ไม่จำต้อง วินิจฉัย ต่อไป ที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายก ฟ้องของ โจทก์ ทั้ง สอง นั้น ศาลฎีกา เห็น ฟ้อง ด้วย ใน ผล ฎีกา ของ โจทก์ ทั้ง สองฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน