คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8018/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนการขายทอดตลาดศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าตามคำร้องผู้ร้องอ้างว่าผู้เสนอราคาสมคบกันกระทำการโดยไม่สุจริตมิได้กล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการไปโดยไม่สุจริตเมื่อการดำเนินการขายทอดตลาดเป็นไปโดยชอบแล้วจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนให้ยกคำร้องเท่ากับเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดีตามคำร้องของจำเลยที่ขอให้ยกกระบวนวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296วรรคสองซึ่งจำเลยชอบที่จะอุทธรณ์ได้ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้นเมื่อมิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลงตามมาตรา147วรรคสองและมาตรา229การที่จำเลยยื่นคำร้องฉบับต่อมาในวันรุ่งขึ้นขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนการขายทอดตลาดอีกครั้งหนึ่งโดยอ้างเหตุเพิ่มเติมว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์โดยไม่สุจริตก็ไม่มีผลลบล้างคำสั่งเดิมซึ่งเป็นที่สุดไปแล้วจึงสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดไม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 152 ให้แก่โจทก์ 1 ใน 6 ส่วน เป็นเนื้อที่13 ตารางวา และแบ่งตึกแถวเลขที่ 38 และ 40 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์ 7 ใน 8 ส่วน หากไม่สามารถแบ่งได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วน และให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 7,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์เสร็จ ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 152 ออกให้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของพันตำรวจโทยงยุทธ สมานบุตร 1 ใน 6 ส่วน ให้จำเลยทั้งสองแบ่งตึกแถวเลขที่ 38 และ 40 ซึ่งปลูกในที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ในฐานะส่วนตัว4 ใน 16 ส่วน ในฐานะผู้จัดการมรดกของพันตำรวจโทยงยุทธ สมานบุตร3 ใน 16 ส่วน และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในฐานะส่วนตัวเดือนละ 2,000 บาท ในฐานะผู้จัดการมรดกดังกล่าวเดือนละ1,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวข้างต้นหากไม่สามารถแบ่งแยกได้ให้นำทรัพย์ออกขายทอดตลาดนำเงินที่ขายได้แบ่งกัน โจทก์ยื่นคำแถลง ขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับเพื่อให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยที่ 2ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนจนกว่าจะมีคำสั่งศาลตั้งผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นนัดพร้อม ถึงวันนัดพร้อมจำเลยที่ 2 แถลงว่าจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1 แล้ว และอยู่ระหว่างการเจรจาเกี่ยวกับการแบ่งปันมรดกศาลชั้นต้นจึงบันทึกไว้ ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดที่ดินและตึกแถวพิพาทออกขายทอดตลาด ศาลชั้นต้นนัดพร้อมอีกถึงวันนัด จำเลยไม่มาศาล โจทก์แถลงว่าไม่สามารถตกลงแบ่งที่ดินและตึกแถวพิพาทตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดที่ดินและตึกแถวพิพาทขายทอดตลาด ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินและตึกแถวพิพาทรายนี้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2535ได้เงินทั้งสิ้น 5,600,000 บาท โดยขายที่ดินได้ 3,100,000 บาทและขายตึกแถวได้ 2,500,000 บาท จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องลงวันที่29 มิถุนายน 2535 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเสีย ศาลชั้นต้นสั่งว่าพิเคราะห์แล้วตามคำร้องผู้ร้องอ้างว่าผู้เสนอราคาสมคบกันกระทำการโดยไม่สุจริต มิได้กล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการไปโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด เมื่อการดำเนินการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปโดยชอบแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอน ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องลงวันที่ 30 มิถุนายน 2535 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกหรือถอนการขายทอดตลาดทรัพย์รายนี้อีกโดยอ้างว่าราคาที่ดินและตึกแถวพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายไปต่ำกว่าราคาท้องตลาดซึ่งมีราคาไม่น้อยกว่า 8,000,000 บาทผู้เข้าสู้ราคาสมคบกันกดราคาให้ต่ำกว่าเป็นจริงและอ้างเหตุเพิ่มเติมว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์โดยไม่สุจริตรู้อยู่แล้วว่าผู้เข้าสู้ราคาสมคบกันกดราคาก็ยังขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่ผู้ประมูลได้โดยมีพฤติการณ์ช่วยเหลือกันและขอให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างการวินิจฉัยชี้ขาดของศาล
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอให้ยกเลิกหรือเพิกถอนการขายทอดตลาดว่าไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง และสั่งคำร้องขอให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างการวินิจฉัยชี้ขาดของศาลว่าศาลยกคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด จึงไม่จำต้องงดการบังคับคดีให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ 2 ที่ว่า มีเหตุที่จะให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินและตึกแถวพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการขายไปแล้วหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้เมื่อจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินและตึกแถวพิพาทฉบับลงวันที่29 มิถุนายน 2535 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าตามคำร้องผู้ร้องอ้างว่าผู้เสนอราคาสมคบกันกระทำการโดยไม่สุจริต มิได้กล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการไปโดยไม่สุจริตแต่อย่างใดเมื่อการดำเนินการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปโดยชอบแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอน ให้ยกคำร้อง คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเท่ากับเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดีตามคำร้อง ของ จำเลยที่ 2ที่ขอให้ยกกระบวนวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ซึ่งจำเลยที่ 2 ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสองและมาตรา 229 การที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 30 มิถุนายน2535 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินและตึกแถวพิพาทอีกครั้งหนึ่งโดยอ้างเหตุเพิ่มเติมว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์โดยไม่สุจริตและศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้อง ก็หาได้มีผลลบล้างคำสั่งเดิมของศาลชั้นต้นที่ชี้ขาดคดีตามคำร้องฉบับลงวันที่ 29 มิถุนายน 2535 ซึ่งเป็นที่สุดไปแล้วแต่ประการใดไม่ คดีจึงไม่อาจที่จะให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินและตึกแถวพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการขายไปแล้วได้ เมื่อความปรากฏเช่นนี้ซึ่งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีคู่ความใดยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาต้องตามกันมาให้ยกคำร้อง ของ จำเลยที่ 2นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน

Share