แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรณีที่จำเลยเข้าแย่งทำนาภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนนั้นเป็นการละเมิดที่เกิดขึ้นใหม่ในระหว่างที่เป็นความกันโจทก์ไม่มีทางที่จะทราบและกล่าวเป็นข้อหาขึ้นได้ในขณะฟ้องคดีก่อนนั้น ฉะนั้นการที่โจทก์มาฟ้องเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยทำละเมิดระหว่างคดีก่อนนั้น จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำแต่ถ้ามีทางที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่าเสียหายที่ได้เกิดขึ้นแล้ว และจะเกิดขึ้นต่อไปรวมไปในฟ้องโจทก์ในคดีก่อนได้อยู่แล้วโจทก์มิได้นำพาเรียกร้องเสียการอ้างว่าไม่แน่ว่าจะชนะคดีหรือไม่ หาทำให้เกิดสิทธิฟ้องใหม่แต่อย่างไรไม่ถ้าฟ้องใหม่ในกรณีหลังนี้ ย่อมถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์เคยฟ้องขอแบ่งมรดกที่ดินจากผู้มีชื่อ ในระหว่างคดีผู้มีชื่อโอนขายที่ดินนั้นแก่จำเลย โจทก์จึงยื่นคำร้องขอเรียกจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยด้วยศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีได้ส่วนแบ่งที่ดิน คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์กลับมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยอีกในการที่จำเลยได้เข้าทำนาส่วนของโจทก์ซึ่งโจทก์มีทางที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนนี้ รวมไปในฟ้องในคดีก่อนได้อยู่แล้ว ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 เพราะประเด็นเนื่องมาจากมูลฐานเดียวกัน คือจำเลยยึดครองทรัพย์สินของโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทน 8,000 บาท โดยเหตุที่จำเลยได้ทำนาส่วนของโจทก์ทำให้เกิดความเสียหายขาดรายได้
จำเลยปฏิเสธความรับผิด
ข้อเท็จจริงได้ความตามที่คู่ความแถลงรับกันว่าที่นาโฉนดที่ 1625 เดิมมีชื่อนายวอนนายใจ นายใจเป็นสามีโจทก์ และเป็นบิดานางอยู่ นายใจตายมาประมาณ 27 ปีแล้ว ต่อมานางอยู่ได้ไปประกาศขอรับมรดก นายใจลงชื่อนางอยู่คนเดียว โจทก์จึงฟ้องนางอยู่ขอแบ่งมรดกส่วนนายใจ ในระหว่างคดีนายอยู่โอนขายให้แก่จำเลย โจทก์ยื่นคำร้องขอเรียกจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยในสำนวนนั้นด้วยและขอให้เพิกถอนการซื้อขายให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินเฉพาะส่วนมรดกของนายใจให้โจทก์ ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี คดีถึงที่สุดแล้ว บัดนี้โจทก์มาฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จำเลย เข้ามาทำนาในที่ดินแปลงนี้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เป็นฟ้องซ้ำ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ ก็โดยมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ว่า จำเลยเข้าครอบครองถือกรรมสิทธิ์ที่นาอันเป็นส่วนกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายขาดรายได้แต่คดีที่โจทก์จำเลยเป็นความกันในคดีก่อน ข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ ก็คือจำเลยเข้าครอบครองถือกรรมสิทธิ์ที่โจทก์มีส่วนกรรมสิทธิ์อยู่เช่นเดียวกัน แม้ข้อหาของโจทก์ในคดีเรื่องก่อนจะเป็นเรื่องให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์และแบ่งนาให้โจทก์และในคดีเรื่องนี้เป็นเรื่องเรียกค่าสินไหมทดแทนก็ดี ประเด็นที่จะต้องพิจารณาก็เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกัน คือ จำเลยได้ยึดครองทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ กรณีต้องด้วยวรรคแรกของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฎีกาที่ 1813/2493 ที่โจทก์อ้างมานั้น เป็นกรณีที่จำเลยเข้าแย่งทำนาภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนนั้นแล้ว เป็นการละเมิดที่เกิดขึ้นใหม่ในระหว่างที่เป็นความกัน โจทก์ไม่มีทางที่จะทราบและกล่าวเป็นข้อหาขึ้นได้ในขณะที่ฟ้องคดีก่อนนั้น
แต่สำหรับคดีนี้ โจทก์มีทางที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่าเสียหายที่ได้เกิดขึ้นแล้ว และจะเกิดขึ้นต่อไป รวมไปในฟ้องโจทก์ในคดีก่อนได้อยู่แล้ว โจทก์มิได้นำพาเรียกร้องเสีย การอ้างว่าไม่แน่ว่าจะชนะคดีหรือไม่ หาทำให้เกิดสิทธิฟ้องใหม่อย่างไรไม่
จึงพิพากษายืน