แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ถ่านเป็นวัตถุธาตุที่ได้จากการเอาไม้ไปเผาหรืออบ ไม่มีสภาพเป็นไม้ จึงไม่เป็นไม้แปรรูปตามความหมายของพระราชบัญญัติป่าไม้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 12/2511)
ย่อยาว
๋โจทก์ฟ้องและจำเลยรับสารภาพว่า จำเลยได้บังอาจมีไม้ติ้วหรือไม้แต้วซึ่งแปรรูปด้วยการเผาหรืออบเป็นถ่านแล้ว ๑๖ กระสอบ รวมปริมาตร ๒.๐๐ ลูกบาศก์เมตร ซึ่งมิใช่ถ่านตามธรรมชาติ ไว้ในความครอบครอง ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้ รับอนุญาต และจำเลยได้ทราบประกาศสำเนาพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้ติ้วหรือไม้แต้วเป็นไม้หวงห้าม และประกาศกำหนดให้ทุกจังหวัดเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้ของทางราชการแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔๘, ๗๓ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๗ ประกาศกระทรวงเกษตร เรื่องกำหนดเขตควบคุม การแปรรูปไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙ ข้อ ๑ พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๔ ให้ปรับจำเลย ๒๐๐ บาท จำเลยรับสารภาพโดยดี ปรานีลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงปรับ ๑๐๐ บาท ของกลางริบ บังคับค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐
จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า ถ่านมิใช่ “ไม้แปรรูป” เพราะ ไม่มีสภาพเป็นไม้ ไม้ที่ถูกเผาจนเป็นถ่านหรือเถ้าจะเรียกว่าไม้ไม่ได้ และถ่านยังอยู่ในความหมายของคำว่า เป็นเครื่องใช้ใน ลักษณะที่จำเป็นต้องใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม อยู่ในข้อยกเว้นของคำว่า “ไม้แปรรูป” จำเลยไม่ควรมีความผิด
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ถ่านเป็นวัตถุธาตุที่ได้จากการเอาไม้ไปเผาหรืออบ ไม่มีสภาพเป็นไม้ จึงไม่เป็นไม้แปรรูปตามความหมายของพระราชบัญญัติป่าไม้ จำเลยไม่มีความผิดฐานมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครอง
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์