แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลจะสั่งริบทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2) ได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำความผิดนั้นและโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดนั้นด้วย
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแต่ยังมิได้จำหน่ายให้แก่ลูกค้า เจ้าพนักงานตำรวจก็จับจำเลยพร้อมกับยึดยาเสพติดให้โทษดังกล่าวและธนบัตรของกลางได้เสียก่อน ธนบัตรของกลางจึงไม่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ หรือวัตถุอื่น ซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 102
เมื่อไม่มีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางเกิดขึ้นและโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบเงินของกลางโดยอ้างว่าจำเลยได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษหาได้ไม่ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ ศาลก็ไม่อาจสั่งริบธนบัตรของกลางดังกล่าวได้และต้องคืนให้แก่เจ้าของ แม้จำเลยจะไม่ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 1,712 เม็ด หนัก 150.202 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 25.024 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนกฎหมายเจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้พร้อมกับยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวและเงินสด 650 บาท ที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษเป็นของกลาง เมทแอมเฟตามีนของกลางเหลือจากการตรวจพิสูจน์ 147.800 กรัม ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66,102 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคหนึ่ง,102 จำคุก 22 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก 11 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบา
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน1,712 เม็ด หนัก 150.202 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 25.024 กรัมอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยนายดาบตำรวจวิฑูรย์ หมื่นจำปา กับพวกซึ่งออกตรวจท้องที่ที่รับผิดชอบได้รับแจ้งจากสายลับว่า จำเลยกำลังขับรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน ลำพูน ผ -1800 นำยาเสพติดให้โทษดังกล่าวจะไปส่งให้ลูกค้านายดาบตำรวจวิฑูรย์กับพวกจึงดักจับกุมจำเลยได้พร้อมด้วยยาเสพติดให้โทษดังกล่าวและธนบัตรจำนวน 650 บาท เป็นของกลาง ชั้นจับกุมจำเลยให้การปฏิเสธ แต่ชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของศาลจำเลยให้การรับสารภาพ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า สมควรลงโทษจำเลยในสถานเบาหรือไม่ เห็นว่า พฤติการณ์ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยมานั้น ถือว่าเหมาะสมและเป็นคุณแก่จำเลยแล้ว
อนึ่ง สำหรับธนบัตรของกลางจำนวน 650 บาท นั้น ความปรากฏแต่เพียงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยยังมิได้จำหน่ายให้แก่ลูกค้า นายดาบตำรวจวิฑูรย์กับพวกก็ดักจับกุมจำเลยพร้อมกับยึดยาเสพติดให้โทษดังกล่าวได้เสียก่อนธนบัตรของกลางจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้หรือวัตถุอื่น ซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 ตามคำขอให้ริบของโจทก์และกรณีที่ศาลจะสั่งริบทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2) ได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำความผิดนั้น และโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดนั้นด้วย เมื่อไม่ปรากฏว่ามีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางเกิดขึ้น และโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบเงินจำนวน 650 บาท ของจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษหาได้ไม่ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ ศาลก็ไม่อาจสั่งริบธนบัตรของกลางดังกล่าวได้และต้องคืนให้แก่เจ้าของ ทั้งเรื่องนี้แม้จำเลยจะไม่ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็ชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
พิพากษาแก้เป็นว่า ธนบัตรของกลางจำนวน 650 บาท ไม่ริบและให้คืนแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5