คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7954/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และภรรยาโจทก์ได้จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเจตนาลวงเพื่อให้จำเลยที่ 1นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทไปจำนองธนาคาร และในวันเดียวกัน จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันเงินกู้แก่ธนาคาร ก. ต่อมาจำเลยที่ 2เป็นผู้รับซื้อมาฝากที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้จากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต มิได้ล่วงรู้ถึงข้อตกลงระหว่างโจทก์และภรรยาที่มีต่อจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมาก่อน ดังนั้นแม้จำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์และภรรยาก็ตาม แต่การที่โจทก์และภรรยาซึ่งเป็นตัวการมิได้เปิดเผยชื่อยอมให้จำเลยที่ 1ในฐานะตัวแทนรับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างและนำไปจำนองเป็นประกันเงินกู้ต่อธนาคารดังกล่าว แล้วต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ไปไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทและนำที่ดินพิพาทไปขายฝากแก่จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 รับซื้อฝากไว้โดยสุจริตไม่เคยล่วงรู้ข้อความจริงดังกล่าวมาก่อน โจทก์จึงหาอาจทำให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกต้องเสื่อมเสียสิทธิที่มีต่อจำเลยที่ 1 ผู้เป็นตัวแทนและขวนขวายได้สิทธิมาก่อนที่รู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของโจทก์และภรรยาได้ไม่โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมขายฝากดังกล่าวได้ ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 20747ร่วมกับนางแช่มชื่น สุระศรานนท์ ซึ่งเป็นภรรยา โจทก์และนางแช่มชื่นต้องการนำที่ดินพิพาทไปจำนองแก่ธนาคารเพื่อนำเงินมาใช้จ่าย จึงได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นน้องของนางแช่มชื่นไปดำเนินการแทน โดยโจทก์และนางแช่มชื่นได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทประเภทขายให้เป็นของจำเลยที่ 1 ไปเมื่อวันที่22 พฤษภาคม 2530 เพื่อให้จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทไปจำนองแก่ธนาคารกสิกรไทยในนามของจำเลยที่ 1 เอง โดยมิได้มีเจตนาจะให้กรรมสิทธิ์ตกไปเป็นของจำเลยที่ 1 โดยมีบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2530 ว่าโจทก์และนางแช่มชื่นจะเป็นผู้รับผิดชอบในการชำระหนี้จำนองด้วยตนเอง ในวันเดียวกันหลังจากที่โจทก์และนางแช่มชื่นได้จดทะเบียนโอนขายให้แล้ว จำเลยที่ 1ก็ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทแก่ธนาคารกสิกรไทย ต่อมาวันที่ 28 กรกฎาคม 2535 จำเลยที่ 1 ได้แอบไปไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจากธนาคาร แล้วนำไปจดทะเบียนขายฝากให้แก่จำเลยที่ 2โดยจำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าความจริงที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และนางแช่มชื่นจดทะเบียนโอนให้จำเลยที่ 1 ไว้เพื่อการจำนองแต่จำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตคิดจะเอาที่ดินพิพาทเป็นของตนทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์และนางแช่มชื่นกับจำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่22 พฤษภาคม 2530 และนิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยทั้งสองฉบับลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2535
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน มิได้ล่วงรู้ถึงข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มาก่อน แม้จำเลยที่ 1 จะเป็นแต่เพียงผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไว้แทนโจทก์ การที่โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองแก่ธนาคาร ย่อมเป็นการทำให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างโจทก์และนางแช่มชื่นกับจำเลยที่ 1 และนิติกรรมการขายฝากระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมขายฝากระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้หรือไม่ ได้ความว่าเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2530 โจทก์และภรรยาโจทก์ได้จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมายจ.3 และในวันเดียวกัน จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันเงินกู้แก่ธนาคารกสิกรไทย ตามเอกสารหมาย จ.4 ในข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์หาได้มีพยานหลักฐานมานำสืบว่าจำเลยที่ 2 ล่วงรู้ถึงข้อความจริงที่โจทก์และภรรยาโจทก์มีข้อตกลงกับจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาก่อนหรือไม่ แต่ในข้อนี้จำเลยที่ 2 อ้างตนเองเป็นพยานกับมีนางสาวศุภลักษณ์ เบ็ญจทรัพย์ เบิกความสนับสนุนว่า จำเลยที่ 2ไม่เคยรู้จักกับจำเลยที่ 1 มาก่อน ในการรับซื้อฝากครั้งนี้มีการติดต่อผ่านนายหน้าก่อนรับซื้อฝาก จำเลยที่ 2 ได้ไปดูที่ดินและตรวจสอบกับโฉนดที่ดินรวมทั้งไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินแล้วเชื่อว่าเป็นของจำเลยที่ 1 จริง จึงรับซื้อฝากไว้ จำเลยที่ 2หาได้ทราบมาก่อนว่ามีข้อตกลงระหว่างโจทก์และภรรยากับจำเลยที่ 1ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.2 ไม่ ตามรูปคดีพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้จากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต มิได้ล่วงรู้ถึงข้อตกลงระหว่างโจทก์และภรรยาที่มีต่อจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมาก่อน ดังนั้นแม้โจทก์จะนำสืบอ้างว่าจำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์และภรรยาก็ตาม แต่การที่โจทก์และภรรยาซึ่งเป็นตัวการมิได้เปิดเผยชื่อยอมให้จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวแทนรับโอนที่ดินพิพาท พร้อมสิ่งปลูกสร้างและนำไปจำนองเป็นประกันเงินกู้ต่อธนาคารดังกล่าว แล้วต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ไปไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทและนำที่ดินพิพาทไปขายฝากแก่จำเลยที่ 2เมื่อจำเลยที่ 2 รับซื้อฝากไว้โดยสุจริตไม่เคยล่วงรู้ข้อความจริงดังกล่าวมาก่อน โจทก์จึงหาอาจทำให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกต้องเสื่อมเสียสิทธิที่มีต่อจำเลยที่ 1 ผู้เป็นตัวแทน และขวนขวายได้สิทธิมาก่อนที่รู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของโจทก์และภรรยาได้ไม่ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมขายฝากดังกล่าวได้ ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806
พิพากษายืน

Share