แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บ.โจทก์ในคดีหนึ่งนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยโจทก์ร้องขัดทรัพย์แล้วได้มีการประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์ยอมให้เงิน บ. 5,000 บาท บ. ยอมถอนการยึดทรัพย์และจำเลยยอมยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ สัญญาที่จำเลยยกที่ดินพิพาทให้โจทก์จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทน เพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างบุคคลสามฝ่าย มิใช่สัญญาที่จำเลยยกที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยเสน่หา แม้มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เป็นสัญญาที่สมบูรณ์บังคับได้
เมื่อสัญญายกที่ดินพิพาทให้โจทก์เป็นสัญญาต่างตอบแทนจำเลยย่อมไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา นอกจากโจทก์ยินยอมด้วยหรือโจทก์ผิดสัญญาหรือมีเหตุอื่นที่กฎหมายให้อำนาจจำเลยบอกเลิกได้แม้โจทก์จะเกี่ยงให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมในการโอนที่ดินทั้งหมดก็ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญา เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาต่างตอบแทนนั้นอันมีอายุความฟ้องร้อง 10 ปี แม้ที่ดินพิพาทจะเป็นที่ดินมือเปล่าก็ไม่ทำให้กำหนดอายุความในกรณีนี้เปลี่ยนแปลงไป เพราะมิใช่กรณีแย่งการครอบครอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายบุญคง บุญสม โจทก์ในคดีแดงที่ ๑๗๘/๒๕๐๕ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย แต่ยึดที่ดินของโจทก์ไปด้วย โจทก์ร้องขัดทรัพย์แล้วตกลงยอมความกัน โดยโจทก์จะให้เงินนายบุญคง ๕,๐๐๐ บาท นายบุญคงจะถอนการยึดทรัพย์ ในการตกลงยอมความดังกล่าว จำเลยยอมยกที่ดินตาม น.ส.๓ ให้โจทก์แต่แล้วไม่ยอมโอน ขอให้บังคับ
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยทำสัญญาจริง แต่โจทก์เกี่ยงให้จำเลยเสียค่าธรรมเนียมโอน จำเลยไม่ยอม จำเลยบอกเลิกสัญญาแล้ว และเข้าครอบครองที่พิพาท ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ได้ ๑ ปาก แล้วสั่งงดสืบพยานวินิจฉัยว่าสัญญายกให้ไม่จดทะเบียน ตกเป็นโมฆะ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ที่จำเลยฎีกาว่า แม้จำเลยจะได้ลงนามในสัญญายกที่พิพาทให้โจทก์(เอกสาร จ.๑) ก็ตาม สัญญาฉบับนี้หาใช่สัญญาประนีประนอมยอมความไม่หากแต่เป็นสัญญายกที่พิพาทให้โจทก์โดยเสน่หา เมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๑๕ ประกอบกับมาตรา ๕๒๕
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาตัวสัญญา (เอกสาร จ.๑) ประกอบกับคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยแล้ว เห็นได้เด่นชัดว่าสัญญาดังกล่าวได้ทำขึ้น เนื่องจากได้มีการประนีประนอมยอมความระหว่างบุคคลสามฝ่ายคือ นายบุญคง บุญสม ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๗๘/๒๕๐๕ยอมความกับโจทก์ในคดีนี้ ซึ่งเป็นผู้ร้องขัดทรัพย์ที่นายบุญคง บุญสมยึดจากจำเลยในคดีดังกล่าวนั้นโจทก์ในคดีนี้ยอมให้เงินนายบุญคง บุญสม๕,๐๐๐ บาท นายบุญคงยอมถอนการยึดทรัพย์ และจำเลยในคดีนี้ยอมยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ สัญญาที่จำเลยยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ (เอกสาร จ.๑)จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทน เพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างบุคคลสามฝ่ายและมิใช่เป็นสัญญาที่จำเลยยกที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยเสน่หา เมื่อสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทน แม้มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เป็นสัญญาที่สมบูรณ์ โจทก์มีสิทธิฟ้องต่อศาลให้บังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์ไปแล้ว ความผูกพันตามสัญญาจึงไม่มี ตามสัญญาพิพาทระบุให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ภายใน ๓ เดือน เมื่อครบกำหนดโจทก์ไม่ได้เรียกร้อง เมื่อจำเลยบอกเลิกสัญญาโจทก์ก็เพิกเฉยปล่อยให้จำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าอย่างเป็นเจ้าของมา ๘-๙ ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความนั้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าสัญญาพิพาทเป็นสัญญาต่างตอบแทน จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญา นอกจากฝ่ายโจทก์ยินยอมด้วย หรือฝ่ายโจทก์ผิดสัญญา หรือมีเหตุอื่นที่กฎหมายให้อำนาจจำเลยบอกเลิกได้ตามคำให้การของจำเลยก็กล่าวไว้แต่เพียงว่า โจทก์เกี่ยงให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมในการโอน(ที่พิพาท) ทั้งหมดแทนโจทก์ทั้งสองจำเลยไม่ยินยอม เมื่อครบกำหนด ๓ เดือน จำเลยบอกเลิกสัญญาและเข้าครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา แม้จะฟังข้อเท็จจริงได้ตามคำให้การของจำเลย ก็หาทำให้จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญากับโจทก์ไม่ และเมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาสิทธิของโจทก์ในอันที่จะบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาต่างตอบแทนย่อมเกิดขึ้นสิทธิดังกล่าวมีอายุความฟ้องร้อง ๑๐ ปี เช่นสัญญาทั่วไป การที่ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าหาทำให้กำหนดอายุความเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไปไม่ เพราะมิใช่เป็นกรณีแย่งการครอบครองที่ดินพิพาท
พิพากษายืน