คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7922/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ข้อห้ามไม่ให้นายจ้างอ้างเหตุที่ไม่ได้ระบุไว้ในหนังสือเลิกจ้างขึ้นต่อสู้ในภายหลังตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 17 วรรคสาม นั้น จำกัดอยู่เฉพาะแต่ในเรื่องการฟ้องร้องเรียกค่าชดเชย ไม่รวมถึงสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ดังนั้น แม้จำเลยจะระบุเหตุแห่งการเลิกจ้างไว้ในหนังสือเลิกจ้างว่า โจทก์ไม่สามารถขายสินค้าให้ได้ยอดตามเป้าหมายที่จำเลยกำหนดไว้จำเลยก็สามารถต่อสู้ว่า เพราะโจทก์ไปทะเลาะกับลูกค้าทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์เพื่อให้เห็นว่าการเลิกจ้างของจำเลยเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมได้ และการที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ไม่ผ่านการทดลองงานนั้น ย่อมหมายความว่าโจทก์ไม่มีคุณสมบัติพอที่จำเลยจะให้เป็นพนักงานขายต่อไป ซึ่งรวมถึงความสามารถในการขายสินค้า ความอดกลั้นและการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกค้า จำเลยจึงสามารถนำสืบว่าระหว่างไปทวงหนี้ โจทก์ไปทะเลาะกับลูกค้าเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์ขาดความอดกลั้นและไม่มีมนุษยสัมพันธ์ในการเป็นพนักงานขายที่ดี ซึ่งอยู่ในประเด็นคำให้การของจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2545 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างในตำแหน่งผู้แทนฝ่ายขายต่างจังหวัด ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 7,500 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือน ต่อมาวันที่ 25 ธันวาคม 2545 จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นหนังสืออ้างว่าโจทก์ทำยอดขายได้ไม่ถึงมาตรฐานที่จำเลยกำหนดไว้ ซึ่งไม่เป็นความจริง เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และจำเลยไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นหรือค่านายหน้าการขายในเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2545 รวมเป็นเงิน 28,097 บาท ให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 7,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ค่าคอมมิชชั่น 28,097 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และสภาพการจ้างเดิม หากจำเลยไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ให้ใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 45,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานโดยให้ทดลองงานจนถึงวันที่ 5 มกราคม 2546 แต่โจทก์ไม่ผ่านการทดลองงาน จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาจ้าง โดยระบุว่าจำเลยยินดีจะจ่ายค่าจ้างระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2545 สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าตอบแทนโจทก์ก็มีสิทธิได้รับเนื่องจากการทำงานที่ผ่านมาให้แก่โจทก์ จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์โดยถูกต้องและเป็นธรรมแล้ว ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย และค่าคอมมิชชั่นที่โจทก์มีสิทธิได้รับไม่ถึง 28,097 บาท เพราะการคิดคำนวณค่าคอมมิชชั่นจะต้องหักค่าขนส่งและส่วนลดหนี้ออกเสียก่อน ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ โจทก์จำเลยตกลงกันได้ในประเด็นเรื่องค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าคอมมิชชั่น คงให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาเฉพาะประเด็นเรื่องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ทวงหนี้จากลูกค้ารายหนึ่ง โจทก์ไปทะเลาะกับลูกค้าดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ ทำให้ลูกค้าไม่พอใจทำหนังสือฟ้องมายังจำเลย เป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าว ตามหนังสือเลิกจ้างเอกสารหมายเลข ล.2 จึงไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะข้อที่ศาลแรงงานกลางให้รับไว้พิจารณาซึ่งสรุปได้ว่าเหตุเลิกจ้างตามที่ยกระบุไว้ในหนังสือเลิกจ้างเอกสารหมายเลข ล.2 คือโจทก์ไม่สามารถขายสินค้าให้ได้ยอดขายตามเป้าหมายที่จำเลยกำหนดไว้ ไม่ใช่เพราะโจทก์ไปทะเลาะกับลูกค้า จำเลยจึงไม่อาจนำสืบและศาลแรงงานกลางไม่สามารถจะรับฟังพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ไปทะเลาะกับลูกค้าได้ จึงต้องถือว่าการเลิกจ้างของจำเลยเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เห็นว่า ข้อห้ามไม่ให้นายจ้างอ้างเหตุที่ไม่ได้ระบุไว้ในหนังสือเลิกจ้างขึ้นต่อสู้ในภายหลังตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 วรรคสาม นั้น จำกัดอยู่เฉพาะแต่ในเรื่องการฟ้องเรียกร้องค่าชดเชย ไม่รวมถึงสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ดังนั้น ไม่ว่าเหตุเลิกจ้างตามที่จำเลยระบุไว้ในหนังสือเลิกจ้างเอกสารหมายเลข ล.2 จะมีความหมายอย่างไร จำเลยก็สามารถต่อสู้ว่าเพราะโจทก์ไปทะเลาะกับลูกค้าทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์เพื่อให้เห็นว่าการเลิกจ้างของจำเลยเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมได้ และการที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ไม่ผ่านการทดลองงานนั้น หมายความว่า โจทก์ไม่มีคุณสมบัติพอที่จำเลยจะให้เป็นพนักงานขายต่อไป ซึ่งรวมถึงความรู้ความสามารถในการขายสินค้า ความอดกลั้น และการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกค้า จำเลยจึงสามารถนำสืบว่าระหว่างไปทวงหนี้โจทก์ไปทะเลาะกับลูกค้า เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์ขาดความอดกลั้นและไม่มีมนุษยสัมพันธ์ในการเป็นพนักงานขายที่ดีซึ่งอยู่ในประเด็นตามคำให้การของจำเลยได้ ศาลแรงงานกลางจึงมีอำนาจรับฟังข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวตามพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบได้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share