คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7903/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีในวันนั้น โจทก์ไม่ค้านการขอเลื่อนและแถลงว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานโจทก์อีกต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เลื่อนคดีไปโดยนัดสืบพยานจำเลยและเสมียนทนายจำเลยได้ลงชื่อรับทราบวันนัดสืบพยานจำเลยไว้แล้วดังนั้นหากเสมียนทนายจำเลยจดเวลานัดผิดพลาดหรือแจ้งเวลานัดสืบพยานจำเลยแก่ทนายจำเลยผิดพลาดก็เป็นความบกพร่องของจำเลยเอง ที่ศาลชั้นต้นสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาในวันนัดสืบพยานจำเลยที่เลื่อนมาซึ่งจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลจึงถือว่าจำเลยไม่มีพยานที่จะสืบ ให้งดสืบพยานจำเลยและให้รอฟังคำพิพากษาในวันนั้นจึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งโดยชอบ มิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาใดที่ผิดระเบียบอันจำเลยจะขอให้ยกเลิกเพิกถอนเสียได้ทั้งนี้ไม่ว่าจำเลยจะขอเช่นนั้นก่อนหรือหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาก็ตาม

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้อง จำเลยให้การต่อสู้ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นชี้สองสถานและกำหนดให้โจทก์นำสืบก่อน
หลังจากโจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 24 พฤษภาคม 2539 เวลา 9 นาฬิกา จำเลยและทนายจำเลยไม่ไปศาลในวันนัดสืบพยานจำเลยดังกล่าวศาลชั้นต้นถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ ให้งดสืบพยานจำเลยและให้รอฟังคำพิพากษาในวันนั้น แล้วพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 40,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2537เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันที่24 กรกฎาคม 2538 อันเป็นวันฟ้องให้ไม่เกิน 2,958 บาท
ในวันเดียวกันนั้นทนายจำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยมิได้จงใจไม่มาศาลตามเวลานัด ทนายจำเลยมาศาลในวันนัดเวลา13.30 นาฬิกา เนื่องจากเสมียนทนายจำเลยได้แจ้งเวลานัดแก่ทนายจำเลยผิดพลาดเป็นเวลา 13.30 นาฬิกาขอให้ยกเลิกคำสั่งนัดฟังคำพิพากษาและอนุญาตให้จำเลยสืบพยานตามประเด็นที่ต่อสู้คดีไว้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยมาศาลหลังจากศาลมีคำพิพากษาไม่ใช่กรณีจำเลยขาดนัดที่จะขอพิจารณาคดีใหม่ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งคำร้องขออนุญาตสืบพยานจำเลยลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2539 ที่จำเลยขอให้ยกเลิกกำหนดนัดฟังคำพิพากษาและอนุญาตให้จำเลยสืบพยานตามประเด็นที่ต่อสู้คดีไว้ว่า จำเลยมาศาลหลังจากศาลมีคำพิพากษา และปรากฏจากบันทึกหน้าสำนวนว่าศาลชั้นต้นได้บันทึกไว้ว่าศาลได้อ่านคำพิพากษาในคดีเรื่องนี้ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2539 โดยทนายโจทก์ได้ลงชื่อไว้ในบันทึกดังกล่าว แต่จำเลยไม่มา จึงฟังได้ว่าขณะจำเลยยื่นคำร้องขอให้ยกเลิกคำสั่งนัดฟังคำพิพากษาและให้จำเลยนำพยานเข้าสืบนั้น ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาในคดีนี้โดยได้อ่านคำพิพากษานั้นให้คู่ความที่มาศาลฟังโดยชอบแล้วมิใช่เพียงแต่นัดฟังคำพิพากษาโดยยังไม่มีคำพิพากษาตามที่จำเลยฎีกา นอกจากนี้แล้วปรากฏจากรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 1 เมษายน 2539 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ว่า ทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีในวันนั้น โจทก์ไม่ค้านการขอเลื่อนและแถลงว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานโจทก์อีกต่อไปศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เลื่อนคดีไปโดยนัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 24 พฤษภาคม 2539 เวลา 9 นาฬิกา และเสมียนทนายจำเลยได้ลงชื่อรับทราบวันนัดสืบพยานจำเลยไว้แล้วดังนั้นหากเสมียนทนายจำเลยจดเวลานัดผิดพลาดตามที่จำเลยฎีกาหรือแจ้งเวลานัดแก่ทนายจำเลยผิดพลาดตามที่จำเลยอ้างมาในคำร้อง ก็เป็นความบกพร่องของจำเลยเอง ที่ศาลชั้นต้นสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2539 ว่าศาลได้ออกนั่งพิจารณาคดีนี้เวลา 10.30 นาฬิกาเพราะรอจำเลยซึ่งทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล จึงถือว่าจำเลยไม่มีพยานที่จะสืบ ให้งดสืบพยานจำเลยและให้รอฟังคำพิพากษาในวันนั้น จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งโดยชอบโดยศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาใดที่ผิดระเบียบอันจำเลยจะขอให้ยกเลิกเพิกถอนเสียได้ทั้งนี้ไม่ว่าจำเลยจะขอเช่นนั้นก่อนหรือหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาก็ตาม
พิพากษายืน

Share