คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ระหว่างจำเลยถูกฟ้องจำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านตามฟ้องได้เดินทางไปค้าขายต่างจังหวัดไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องกลับจากต่างจังหวัดหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว จึงทราบว่าถูกฟ้อง ดังนั้น การที่จำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การและไม่ได้มาศาลในวันนัดพิจารณา จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า สัญญาซื้อขายที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 2667 ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวและให้จำเลยส่งมอบ น.ส.3 ก. เลขที่ 2667 ให้โจทก์ จำเลยไม่ยื่นคำให้การและไม่มาศาลในวันนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี และได้มีการส่งคำบังคับให้จำเลยทราบแล้ว
จำเลยยื่นคำร้องว่า มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยและภรรยาไปค้าขายอยู่ต่างจังหวัดจึงไม่ทราบว่าถูกฟ้อง ทั้งพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบก็เลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ หากจำเลยมีโอกาสยื่นคำให้การและนำพยานเข้าสืบแล้วจะเป็นฝ่ายชนะคดีโจทก์ได้ หากจำเลยมีโอากาส ยื่นคำให้การและนำพยานเข้าสืบแล้วจะเป็นฝ่ายชนะคดีโจทก์ได้ขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องแล้วจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา และมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์กับจำเลยเป็นพี่น้องกัน จำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเลขที่ 11 หมู่ที่ 5 ตำบลหนองหว้า อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษซึ่งเป็นบ้านมารดาโจทก์จำเลย เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2532โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ระบุที่อยู่จำเลยตามทะเบียนบ้านดังกล่าววันที่ 8 กรกฎาคม 2532 เจ้าหน้าที่เดินหมายของศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย ณ ที่อยู่ตามฟ้อง ไม่พบจำเลยเจ้าหน้าที่จึงปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ จำเลยมิได้ยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2532 และในวันที่ 5 กันยายน 2532 ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี วันที่22 กันยายน 2532 จำเลยมายื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่าไม่ทราบว่าถูกฟ้อง เห็นว่า พยานหลักฐานจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบว่า ระหว่างจำเลยถูกฟ้องคดีนี้จำเลยไม่ได้อยู่บ้านตามฟ้อง ได้เดินทางไปค้าขายต่างจังหวัดไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง กลับจากต่างจังหวัดหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว จึงทราบว่าถูกฟ้อง ดังนั้นการที่จำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การและไม่ได้มาศาลในวันนัดพิจารณาจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา”
พิพากษายืน

Share