แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่าโจทก์รับโอนเช็คโดยไม่สุจริต ไม่บรรยายว่าไม่สุจริตอย่างไร ไม่เป็นข้อต่อสู้ที่ควรต้องสืบพยานตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24,177,276 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานเป็นการชี้ขาดเบื้องต้นตาม มาตรา24 โดยวินิจฉัยข้อกฎหมาย ไม่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริงในคดี ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาคู่ความอุทธรณ์ได้โดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ก่อน
ย่อยาว
ในวันนัดสืบพยาน จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีวินิจฉัยได้จึงงดสืบพยาน แล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 526,000 บาท กับดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งจึงอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาไม่ได้ พิพากษายกอุทธรณ์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาตามข้อฎีกาของจำเลยว่า คำสั่งศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 หรือเป็นคำสั่งชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ตามมาตรา 24 ซึ่งอยู่ภายในบังคับแห่งมาตรา 227 แม้จะไม่แถลงโต้แย้งไว้ ก็อุทธรณ์ฎีกาได้
พิเคราะห์แล้ว คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คนั้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคำให้การจำเลยไม่แจ้งชัด และไม่เป็นประเด็นแห่งคดี ศาลฎีกาเห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเช่นนี้เป็นการวินิจฉัยโดยข้อกฎหมาย มิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานโดยอาศัยข้อเท็จจริงในคดี ถือว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 เมื่อเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นดังกล่าวจึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 ดังนั้นแม้จำเลยจะไม่ได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยไว้จำเลยก็ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวนั้นได้
ปัญหาต่อไปว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยให้โจทก์ชนะคดีนั้น ชอบหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ พิเคราะห์แล้วคดีนี้ฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท โดยได้รับการสลักหลังมาจากบุคคลอื่น จำเลยให้การว่าโจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต ไม่ได้ให้การว่าไม่สุจริตอย่างใดและเพราะเหตุใดที่ว่าออกเช็คให้แก่ผู้มีชื่อและชายผู้มีชื่ออ้างว่าเช็คหาย จำเลยก็ไม่ยืนยันว่าชายผู้มีชื่อนั้นเป็นใคร คำให้การไม่ชัดแจ้งและที่ว่ามูลหนี้ตามเช็คไม่มีแล้ว เพราะได้มีการหักกลบลบบัญชีทางการค้ากับผู้ที่รับเช็คไปแล้วนั้น ก็เป็นการยกเอาความเกี่ยวพันระหว่างตนกับผู้ทรงคนก่อนขึ้นมาต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงคนสุดท้าย ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 ห้ามมิให้ยกขึ้นต่อสู้เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล ดังนี้เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินตามเช็คให้โจทก์นั้นชอบแล้ว
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาเป็นพับ”