คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7854/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คพิพาท เป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะระบุชื่อ ช.เป็นผู้รับเงินเพื่อเป็นการชำระหนี้ค่าเสียหายแก่โจทก์โดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้สลักหลังการที่ ช. นำเช็คพิพาทเข้าบัญชีเงินฝากของ ช. เพื่อเรียกเก็บเงินแทนโจทก์เพราะโจทก์ไม่มีบัญชีเงินฝาก เป็นการที่ ช.ยึดถือเช็คพิพาทแทนโจทก์เท่านั้น เมื่อโจทก์เป็นผู้มีเช็คพิพาทไว้ในครอบครองโดยโจทก์เป็นผู้มีสิทธิรับเงินตามเช็คพิพาทโจทก์จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2540 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ในฐานะกรรมการผู้จัดการ ได้ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนวิภาวดีรังสิตลงวันที่ 10 มีนาคม 2540 จำนวน 260,000 บาท มีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังเพื่อค้ำประกัน มอบให้แก่นายเชาวลิต รัตนาวิวัฒน์พงศ์ ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ทั้งสองเป็นผู้รับแทน เพื่อชำระค่าเสียหายมูลละเมิดแก่โจทก์ทั้งสอง เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระนายเชาวลิตนำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า “โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็คจำนวน 277, 875 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงินจำนวน 260,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 สลักหลังเช็คตามฟ้องให้แก่นายเชาวลิต รัตนาวิวัฒน์พงศ์ ซึ่งเป็นเช็คเฉพาะตัวเท่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีการโอนโดยชอบด้วยกฎหมายให้แก่โจทก์ทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 260,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2540เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1สั่งจ่ายเช็คและจำเลยที่ 2 สลักหลังเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะให้แก่นายเชาวลิต รัตนาวิวัฒน์พงศ์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสองอันเกิดจากพนักงานของจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทเฉี่ยวชนสามีและบุตรสาวของโจทก์ที่ 1 และสามีของโจทก์ที่ 2 ถึงแก่ความตาย เนื่องจากโจทก์ทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนไม่มีเงินฝากในประเทศไทย จึงให้นายเชาวลิตนำเช็คพิพาทเข้าบัญชีเงินฝากของนายเชาวลิตเพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คแทนซึ่งจำเลยทั้งสองทราบข้อเท็จจริงนี้ดี ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ทรงโดยชอบหรือไม่ เห็นว่า ผู้ที่จะฟ้องเรียกเงินตามเช็คได้จะต้องเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 ซึ่งหมายถึงบุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงินหรือเป็นผู้รับสลักหลัง ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ผู้ถือก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกันเมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า การที่จำเลยทั้งสองสั่งจ่ายและสลักหลังเช็คพิพาทระบุชื่อนายเชาวลิตนั้นเพียงเพื่อให้นายเชาวลิตนำเช็คไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินแล้วนำเงินมาให้โจทก์ทั้งสองเพราะโจทก์ทั้งสองไม่มีบัญชีเงินฝาก นายเชาวลิตจึงยึดถือเช็คพิพาทแทนโจทก์ทั้งสองเท่านั้น และถึงแม้จะระบุชื่อในเช็คพิพาทเป็นนายเชาวลิตก็ตาม แต่ก็ระบุไว้ในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ทั้งสองเท่านั้น โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิรับเงิน จึงเป็นผู้รับเงินตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 แล้ว โจทก์ทั้งสองจึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน

Share