คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 785/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยจะขอให้มีการพิจารณาใหม่ได้นั้น ป.วิ.พ. มาตรา 207บัญญัติว่า ต้องเป็นเรื่องแพ้คดีเพราะขาดนัดพิจารณา การที่จำเลยขอพิจารณาคดีใหม่โดยอ้างว่าจำเลย ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และถูกโจทก์ฉ้อฉล ซึ่งไม่ใช่เรื่องแพ้คดีเพราะขาดนัดพิจารณา จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอพิจารณาใหม่.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1ร่วมกับจำเลยที่ 2 กู้ไปจากโจทก์
ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอ้างว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และถูกโจทก์ฉ้อฉลกล่าวคือถูกเกลี้ยกล่อมว่า ให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันพอเป็นพิธีแล้วโจทก์จะไม่เรียกเก็บดอกเบี้ยซึ่งความจริงจำเลยไม่เคยค้างชำระ และหักเงินต้นที่จำเลยชำระแล้วบางส่วนให้แก่จำเลยนอกศาล ขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามที่โจทก์จำเลยได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันแล้ว คำพิพากษาตามยอมนั้นย่อมผูกพันโจทก์จำเลยอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา145 หากจำเลยไม่พอใจคำพิพากษาเช่นว่านั้นก็อาจอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138, 223 ซึ่งก็ปรากฏว่าคดีนี้ได้ถึงที่สุดแล้วโดยไม่มีการอุทธรณ์ การที่จำเลยจะขอให้มีการพิจารณาใหม่ได้นั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207บัญญัติว่า ต้องเป็นเรื่องแพ้คดีเพราะขาดนัดพิจารณา คดีนี้จำเลยที่ 1 ขอพิจารณาใหม่โดยอ้างว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และถูกโจทก์ฉ้อฉลซึ่งไม่ใช่เรื่องจำเลยแพ้คดีเพราะขาดนัดพิจารณา จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอพิจารณาใหม่ตามมาตรา 207 ดังกล่าวได้…”
พิพากษายืน.

Share