คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7844/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนการพิจารณาและถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาศาลแล้วยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลย โดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ต่อไป การที่ศาลอุทธรณ์ไปวินิจฉัยว่าจำเลยจงใจขาดนัดพิจารณา โดยไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยว่ามีเหตุสมควรที่จะให้จำเลยเลื่อนการพิจารณาและศาลชั้นต้นควรจะไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยต่อไปหรือไม่เป็นการไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ ย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142ประกอบด้วยมาตรา 246 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 41ถ้ามีการเลื่อนการพิจารณาโดยอ้างว่าผู้ใดไม่สามารถมาศาลได้เพราะเจ็บป่วยหากศาลไม่เชื่อว่าเป็นความจริงก็จะต้องมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานไปตรวจและรายงานให้ศาลทราบเสียก่อน จึงจะสั่งให้อนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เลื่อนการพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องขอเลื่อนการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยแล้วมีคำสั่งว่า ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยป่วยไม่สามารถมาศาลได้เป็นการข้ามขั้นตอน จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 41

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายและค้ำประกัน จำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนม-2267 ลำปาง หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคา 52,445 บาทให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหาย 29,333 บาท และใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องแต่ไม่เกิน 1 ปี เว้นแต่โจทก์จะได้รับรถยนต์คันพิพาทคืนก่อนกำหนด คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่โดยอ้างเหตุว่าศาลชั้นต้นนัดชี้สองสถานโดยไม่ได้แจ้งกำหนดให้จำเลยที่ 1ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน จำเลยที่ 1 ทราบกระบวนพิจารณาเมื่อมีการปิดคำบังคับแก่จำเลยที่ 1 แล้วหากจำเลยที่ 1 มีโอกาสนำพยานหลักฐานเข้าสืบแล้วจำเลยที่ 1 จะชนะคดีเพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยที่ 1 ทราบวันนัดชี้สองสถานโดยชอบแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องแล้วต่อมามีคำสั่งให้งดการไต่สวนและมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบสนับสนุนคำร้องว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ขาดนัดพิจารณาโดยจงใจไม่มีเหตุจะให้พิจารณาใหม่ ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 จงใจขาดนัดพิจารณาเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์เพราะจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 เลื่อนการพิจารณาและถือว่าจำเลยที่ 1ไม่มีพยานมาศาล เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบนั้น ปรากฏตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2มีคำพิพากษากลับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1เลื่อนการพิจารณาและถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีพยานมาศาลแล้วยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 โดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ต่อไป การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไปวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 จงใจขาดนัดพิจารณา โดยไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า มีเหตุสมควรที่จะให้จำเลยที่ 1 เลื่อนการพิจารณาและศาลชั้นต้นควรจะไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1ต่อไปหรือไม่ เป็นการไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยที่ 1อุทธรณ์เช่นนี้ ย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 ประกอบด้วยมาตรา 246 ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น
สำหรับประเด็นที่ว่า มีเหตุสมควรที่จะให้จำเลยที่ 1เลื่อนการพิจารณาหรือไม่นั้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังไม่ได้วินิจฉัย แต่ศาลฎีกาเห็นว่าควรวินิจฉัยไปเสียเอง โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย ในประเด็นนี้ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ด้วยตนเอง ในวันนัดไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 1 ในวันที่18 มกราคม 2537 ทนายจำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากจำเลยที่ 1 ในวันดังกล่าวยื่นคำร้องขอเลื่อนการไต่สวนอ้างว่า เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทนายความจำเลยที่ 1จำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงแห่งคดีก่อน โจทก์ไม่ค้านศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนไปไต่สวนคำร้องในวันที่3 มีนาคม 2537 เวลา 13.30 นาฬิกา เมื่อถึงวันนัดจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเลื่อนการไต่สวนอ้างว่า ติดราชการเข้าประชุมกำหนดแนวทางและบรรทัดฐานการออกข้อสอบของโรงเรียนแม่ทะประชาสามัคคีโจทก์ไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนไปไต่สวนคำร้องในวันที่ 9 พฤษภาคม 2537เวลา 13.30 นาฬิกา เมื่อถึงวันนัด จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเลื่อนการไต่สวนอีก อ้างว่า จำเลยที่ 1 ป่วยเป็นโรคบิดอุจจาระร่วง โดยมีใบแสดงความคิดเห็นของแพทย์มาแสดงด้วยทนายโจทก์แถลงคัดค้านว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาประวิงคดีมิได้ป่วยจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1ป่วยจริงไม่สามารถมาศาลได้จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีพยานมาสืบสนับสนุนคำร้อง จึงให้ยกคำร้อง ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 ขอเลื่อนการไต่สวนเป็นครั้งที่สาม แต่เป็นการขอเลื่อนโดยอ้างว่า จำเลยที่ 1ป่วยมีใบแสดงความคิดเห็นของแพทย์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่ทะจังหวัดลำปาง อันเป็นโรงพยาบาลของรัฐระบุว่าจำเลยที่ 1 ป่วยเป็นโรคบิด อุจจาระร่วง กรณีเป็นเช่นนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 41 บัญญัติไว้เป็นใจความว่า เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำขอ ศาลจะมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานไปทำการตรวจก็ได้ถ้าผู้ไปตรวจได้รายงาน และศาลเชื่อว่าอาการของผู้ที่อ้างว่าป่วยนั้นไม่ร้ายแรงถึงกับจะมาศาลไม่ได้ ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการขาดนัดหรือการไม่มาศาลของบุคคลที่อ้างว่าป่วยนั้น แล้วแต่กรณีบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ย่อมหมายความว่า ถ้ามีการขอเลื่อนการพิจารณาโดยอ้างว่า ไม่สามารถมาศาลได้เพราะป่วยเจ็บ หากศาลไม่เชื่อว่าเป็นความจริงก็จะต้องมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานไปตรวจและรายงานให้ศาลทราบเสียก่อนจึงจะสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เลื่อนการพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องขอเลื่อนการไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ป่วยจนไม่สามารถมาศาลได้ เป็นการข้ามขั้นตอน จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติในมาตรา 41 และเมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้ดำเนินการตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวก็สมควรที่จะให้จำเลยที่ 1 เลื่อนการไต่สวนคำร้องออกไปก่อน
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณาเพราะศาลชั้นต้นไม่ได้แจ้งวันนัดชี้สองสถานให้จำเลยที่ 1 ทราบนั้น เห็นว่า ในชั้นนี้ยังไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 เลื่อนการไต่สวน ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1แล้วพิจารณาสั่งตามรูปคดี

Share