แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การนับเวลาได้มีประกาศนับเวลาในราชการ พ.ศ.2460 ให้เริ่มนับวันใหม่ตั้งแต่เที่ยงคืน และ ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 6 ข้อ 23 บัญญัติว่า วันหนึ่งหมายความว่าระยะเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง เมื่อตั้งต้นนับวันใหม่ตั้งแต่เที่ยงคืน วันหนึ่งจึงมีเวลากลางคืน 2 ตอน คือตอนต้นนับวันใหม่ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนไปจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น เป็นเวลากลางคืนตอนหนึ่ง กับอีกตอนหนึ่งระหว่างเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกไปสุดสิ้นถึงเวลาเที่ยงคืน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดในวันที่ 20 กันยายน 2489 เวลากลางคืน ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยกระทำผิดในวันที่ 21 กันยายน 2489 เวลา 4.00 นาฬิกา ดังนี้ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ต้องยกฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันลักทรัพย์เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๘๙ เวลากลางคืน จำเลยปฏิเสธ ทางพิจารณา พะยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยกระทำผิด เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๔๘๙ เวลา ๔.๐๐ นาฬิกา ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามธรรมดาเวลากลางวันหมายความว่า เวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก เวลากลางคืนหมายถึงเวลาระหว่างพระอาทิตย์ตกจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกของวันใด ค่ำนั้นก็เป็นเวลากลางคืนของคืนนั้นตลอดคืน ด้วยว่า เวลากลางคืนย่อมตามหลังเวลากลางวัน ต่อมาได้มีประกาศนับเวลาในราชการ พ.ศ.๒๔๖๐ ให้เริ่มนับวันใหม่ตั้งแต่เที่ยงคืน ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๖ ข้อ ๒๓ บัญญัติว่า วันหนึ่งหมายความว่า ระยะเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง ฉะนั้นเมื่อตั้งต้นเริ่มนับวันใหม่ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืน วันหนึ่งจึงมีเวลากลางคืน ๒ ตอน คือระหว่างเวลาตั้งแต่เที่ยงคืนไปจนพระอาทิตย์ขึ้นเป็นเวลากลางคืนของวันใหม่ กับอีกตอนหนึ่งระหว่างเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกไปสุดสิ้นถึงเวลาเที่ยงคืน ก.ม.บัญญัติให้นับดังนี้ การเข้าใจถึงเรื่องคืนของวันใดจึงคลาดเคลื่อนไปจากธรรมดา เวลากลางคืนตอนหลังตกไปเป็นวันใหม่ เมื่อเป็นดังนี้จะเรียกคืนของวันเก่า ตามกฎหมายในเวลานี้ไม่ได้ เพราะวันเปลี่ยนไปแล้ว
พิพากษายืน