คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7822/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การพิจารณาเรื่องอำนาจฟ้องต้องพิจารณาในขณะที่โจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาล คดีนี้โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์พิพาทซึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 92998 พร้อมสิ่งปลูกสร้างจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งศาล เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ทอดตลาดแสดงความตกลงด้วยการเคาะไม้ โจทก์ย่อมได้สิทธิในทรัพย์พิพาทโดยบริบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 อันเป็นกฎหมายสารบัญญัติ แม้ภายหลังจำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 309 ทวิ ซึ่งเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติและคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลก็ตาม คงเป็นเพียงการร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด เท่านั้น หาใช่เรื่องการขายทอดตลาดตกเป็นโมฆะไม่ และตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด สิทธิของโจทก์ในที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์พิพาทก็ยังคงบริบูรณ์อยู่ คำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีสบัญญัติของจำเลยไม่กระทบต่อสิทธิของโจทก์ตามกฎหมายสารบัญญัติ จำเลยจึงไม่มีสิทธิใดๆ ในที่ดินดังกล่าว เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์พิพาท จำเลยไม่ยอมออก โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากทรัพย์พิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 92998 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไปให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายออกไปจนสิ้นเชิง
จำเลยให้การว่า ทรัพย์พิพาทยังเป็นของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมกับให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากทรัพย์พิพาทที่ดินโฉนดเลขที่ 92998 กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นทาวน์เฮาส์เลขที่ 550/265 ห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องกับทรัพย์พิพาท และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ 5,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะได้ออกไปและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากทรัพย์พิพาทจนเสร็จสิ้น กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากไปจากทรัพย์พิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยหรือไม่ เห็นว่า การพิจารณาเรื่องอำนาจฟ้องต้องพิจารณาในขณะที่โจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาล คดีนี้โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์พิพาทซึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 92998 พร้อมสิ่งปลูกสร้างจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งศาล ดังนั้น นับแต่เจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ทอดตลาดแสดงความตกลงด้วยการเคาะไม้ โจทก์ย่อมได้สิทธิ์ในทรัพย์พิพาทโดยบริบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 อันเป็นกฎหมายสารบัญญัติ แม้ภายหลังการขายทอดตลาดจำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 309 ทวิ ซึ่งเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติและคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลก็ตาม คงเป็นเพียงการร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดเท่านั้น หาใช่เรื่องการขายทอดตลาดตกเป็นโมฆะไม่ และตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด สิทธิของโจทก์ในทรัพย์พิพาทก็ยังคงบริบูรณ์อยู่ คำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีสบัญญัติของจำเลยไม่กระทบต่อสิทธิของโจทก์ตามกฎหมายสารบัญญัติ จำเลยไม่มีสิทธิใด ๆ ในทรัพย์พิพาทอีกต่อไป เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกจากทรัพย์พิพาท และจำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากทรัพย์พิพาท
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share