คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 78/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การซื้อขายเฮโรอีนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จำเลยที่ 1 อ้างว่าเพิ่งรู้จักจำเลยที่ 2 ในวันเกิดเหตุ จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 จะกล้าบอกเรื่องการขายเฮโรอีนให้จำเลยที่ 1 ทราบและชวนจำเลยที่ 1 ไปรับเงินค่าขายเฮโรอีนด้วย การที่จำเลยที่ 1 ร่วมเดินทางไปยังจุดนัดพบซื้อขายเฮโรอีนกับจำเลยที่ 2จึงน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ต้องมีส่วนเป็นเจ้าของเฮโรอีนของกลางและต้องการไปรับเงินค่าขายเฮโรอีนตามที่โจทก์นำสืบ(ที่มา-เนติ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนีอีกสองคนร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองผิดตามฟ้อง แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนเพียงบทเดียว ให้จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ตาม ป.ว.อ. ม.245 ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2526 เวลาประมาณ 10.30 นาฬิกา ร้อยตำรวจเอกประเสริฐ ลิ้มนุสนธิ์ สิบตำรวจโทไพบูลย์ รัตนพิทักษ์ และนายดาบตำรวจหลาบ ทองอินทร์ เจ้าพนักงานตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติดให้โทษประจำจังหวัดเชียงใหม่กับพวก ได้ทำการจับกุมจำเลยทั้งสองได้ที่บริเวณศาลาที่พักผู้โดยสารหน้าโรงเรียนบ้านห้วยกาน ตำบลบ้านโฮ่ง อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน กล่าวหาว่ามีเฮโรอีนของกลางหนัก 1.373 กิโลกรัมไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนนั้น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่
โจทก์มีร้อยตำรวจเอกประเสริฐ สิบตำรวจโทไพบูลย์ และนายดาบตำรวจหลาบ มาเบิกความว่า เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2526 ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมีเฮโรอีนจะขาย สิบตำรวจโทไพบูลย์กับนายดาบตำรวจหลาบจึงปลอมตัวเป็นพ่อค้าเดินทางไปกับสายลับไปติดต่อล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยทั้งสองกับพวกที่บ้านจำเลยที่ 2 พบจำเลยทั้งสองกับนายมูลและนางทองอยู่ที่นั่น ได้ตกลงซื้อขายเฮโรอีนกันจำนวน 2 ตัวครึ่งราคาตัวละ80,000 บาท เป็นเงิน 200,000 บาท และจำเลยทั้งสองกับพวกนัดส่งมอบเฮโรอีนให้ในวันที่ 19 สิงหาคม 2526 เวลา 10 นาฬิกาที่ศาลาที่พักผู้โดยสารหน้าโรงเรียนบ้านห้วยกาน วันที่ 19 สิงหาคม 2526สิบตำรวจโทไพบูลย์ขับรถยนต์ไปกับสายลับเพื่อรับจำเลยทั้งสองกับพวกได้พบจำเลยทั้งสองกับนายมูลและนายทองอยู่ด้วยกันที่บ้านจำเลยที่ 2 และจำเลยทั้งสองเป็นคนนำเฮโรอีนบรรจุถุงปุ๋ยมาขึ้นรถยนต์ที่สิบตำรวจโทไพบูลย์ขับและนั่งรถคันนั้นมายังจุดนัดพบ และถูกร้อยตำรวจเอกประเสริฐซึ่งนำกำลังมาซุ่มรออยู่จับกุมตัวและยึดเฮโรอีนของกลางไว้ได้ คำเบิกความของร้อยตำรวจเอกประเสริฐ สิบตำรวจโทไพบูลย์ และนายดาบตำรวจหลาบดังกล่าวมีเหตุผล เพราะจำเลยที่ 2 เองก็เบิกความรับ และสิบตำรวจโทไพบูลย์กับพวกเป็นผู้ติดต่อซื้อเฮโรอีนของกลางและเห็นเหตุการณ์โดยใกล้ชิดจำเลยทั้งสองร่วมกับพวกขายเฮโรอีนของกลาง สิบตำรวจโทไพบูลย์กับพวกจะต้องทราบ และจำเลยทั้งสองนำเฮโรอีนของกลางมาไว้ที่รถสิบตำรวจโทไพบูลย์ก็ต้องเห็น ทั้งไม่มีเหตุจะปรักปรำจำเลยทั้งสอง ที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่า ขณะที่จำเลยทั้งสองถูกจับไม่มีถุงใส่เฮโรอีนของกลางอยู่ในรถ มีแต่คำจำเลยที่ 1คนเดียวลอย ๆ ฟังเป็นจริงไม่ได้ และที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่าวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ไปถามหาซื้อกระบือจากนายวินที่บ้านจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ขอร้องให้ไปเป็นเพื่อนรับเงินค่าขายเฮโรอีน บอกว่าจะให้เงิน 1,500 บาท จำเลยที่ 1 จึงนั่งรถไปด้วยก็ขัดต่อเหตุผล เพราะการซื้อขายเฮโรอีนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จำเลยที่ 1 อ้างว่าเพิ่งรู้จักจำเลยที่ 2 ในวันเกิดเหตุ ไม่เชื่อว่าจำเลยที่ 2 จะกล้าบอกเรื่องการขายเฮโรอีนให้จำเลยที่ 1 ทราบ และชวนจำเลยที่ 1 ไปรับเงินค่าขายเฮโรอีนด้วยการที่จำเลยที่ 1 ร่วมเดินทางไปกับจำเลยที่ 2 จึงน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ต้องมีส่วนเป็นเจ้าของเฮโรอีนของกลางและต้องการไปรับเงินค่าขายเฮโรอีนดังกล่าว นอกจากนี้ที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่า นายชุบ ม่วงปรางค์สายลับของเจ้าพนักงานตำรวจเป็นผู้ติดต่อให้จำเลยที่ 2 ช่วยหาซื้อเฮโรอีนให้ บอกว่าถ้าจับคนขายได้จะได้รางวัล จำเลยที่ 2 จึงติดต่อกับจำเลยที่ 1 นายมูล นายทอง และนายหมื่นนำเฮโรอีนของกลางมาขายให้ วันเกิดเหตุนายชุบขอร้องให้จำเลยที่ 2 นั่งรถไปด้วย จำเลยที่ 2 จึงนั่งไปนั้น ไม่น่าเชื่อ เพราะถ้าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ติดต่อซื้อเฮโรอีนของกลางให้แก่สายลับจริง ร้อยตำรวจเอกประเสริฐกับพวกจะต้องทราบและคงไม่ถูกจับกุมกล่าวหาจำเลยที่ 2 ด้วย พยานโจทก์ที่นำสืบมาเชื่อได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกับพวกมีเฮโรอีนของกลางไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนนั้น’
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share