แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระภิกษุได้รับมรดกที่ดินมาแล้วให้ผู้อื่นอาศัย ย่อมฟ้องขับไล่ผู้อาศัยในระหว่างเป็นภิกษุได้ กรณีไม่เข้า ม.1622, โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินซึ่งอ้างว่าเป็นของโจทก์ได้รับมรดกมา แต่การนำสืบของโจทก์ปรากฏว่า บิดายกให้ดังนี้ไม่เป็นการนอกประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินมา ๑ แปลงโดยได้รับมรดกตกทอดมาจากนายแก้วบิดา โจทก์ได้ครอบครองมา ๓๗ ปี เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๒ จำเลยที่ ๒ ได้ขออาศัยโจทก์ทำกิน ๑ ปี โจทก์ยินยอมให้ทำ ต่อมาเดือนพฤษภาคม ๒๔๘๓ จำเลยทั้งสองบังอาจบุกรุกทำนาของโจทก์ โจทก์ห้ามปราบก็ไม่ฟัง ขอให้ห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องนาของโจทก์
จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่า นารายพิพาทได้รับมรดกครอบครองมากว่า ๓๐ ปี ไม่ใช่ของโจทก์และตัดฟ้องว่า โจทก์เป็นพระภิกษุสงฆ์มาเป็นโจทย์ฟ้องเรียกมรดกบิดามิได้สึกเสียก่อนเป็นการขัดต่อ ป.พ.พ.ม.๑๖๒๒
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า นารายพิพาทบิดาโจทก์ยกให้ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี โจทก์ได้ครอบครองตลอดมาแล้วให้ผู้อื่นอาศัย จึงพิพากษาให้ขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยขออาศัย จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาฟังว่าโจทก์นำสืบได้ว่าจำเลยขออาศัย รูปคดีจึงไม่เข้ามาตรา ๑๓๖๙ และเห็นว่าข้อนำสืบของโจทก์ไม่ต่างกับฟ้อง ข้อที่จำเลยตัดฟ้องว่า โจทก์เป็นพระภิกษุสงฆ์มาฟ้องเรียกทรัพย์มรดกโดยมิได้สึกเสียก่อนไม่ชอบด้วย ป.พ.พ.ม.๑๖๒๒ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ได้รับที่ดินครอบครองเป็นเจ้าของมาก่อนแล้ว จึงได้มาฟ้องขับไล่จำเลย ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทายาทฟ้องร้องเรียกมรดกของผู้ตายโจทก์ไม่จำเป็นต้องสึกจากสมนะเพสก็ฟ้องจำเลยได้ จึงพิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น