คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การเบียดบังเอาเงินของผู้เสียหายไปโดยทุจริตคนละคราวต่างวาระกันการกระทำของจำเลยแต่ละคราวเป็นความผิดสำเร็จเป็นคราว ๆไปในตัว จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยได้เบียดบังเอาเงินของผู้เสียหายรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 304,357.42 บาท ไปเป็นประโยชน์ของจำเลยหรือผู้อื่นโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา147, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502มาตรา 3 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 4,357.42 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 รวม 2 กระทง เรียงกระทงลงโทษให้จำคุกกระทงละ 6 ปีรวมจำคุก 12 ปี จำเลยชดใช้เงินคืนแก่ทางราชการเป็นจำนวนมากเป็นการบรรเทาความเสียหาย นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 4,078.42 บาทแก่ผู้เสียหาย
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยเต็มตามฟ้อง ส่วนจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คงมีปัญหาข้อกฎหมายข้อเดียวตามที่จำเลยฎีกาข้อ 3.2 ว่า เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2528 เจ้าพนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจบัญชีของสุขาภิบาลท่าแซะผู้เสียหายพบว่ายอดเงินขาดหายไปจำนวน 175,758.42 บาท และวันที่ 26 มิถุนายน 2528พบว่าเงินขาดหายไป 128,320 บาท การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำผิดครั้งเดียว มีเจตนาเดียวกัน คือทำให้เงินขาดหายไปจากบัญชีถือได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน2528 เจ้าพนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจกำปั่นเก็บเงิน และตรวจบัญชีของสุขาภิบาลท่าแซะผู้เสียหายพบว่าเงินในกำปั่นขาดหายไป175,758.42 บาท และวันที่ 26 มิถุนายน 2528 ตรวจพบว่าเงินของผู้เสียหายขาดบัญชีไป 128,320 บาท โดยพบว่าในวันที่ 28 กันยายน2527 มีการเบิกจ่ายเงินตัดปีออกจากบัญชีเงินสดของผู้เสียหายตามฎีกา 5 ฉบับ เอกสารหมาย ป.จ.7 ถึง ป.จ.11 รวมเป็นเงิน128,320 บาท ระบุว่า เป็นเงินในหมวดค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างไม่มีหลักฐานการจ่ายให้แก่ผู้รับเงิน เห็นว่า เงินในกำปั่นของผู้เสียหายที่ขาดหายไปจำนวน 175,758.42 บาท และที่จำเลยได้เบิกเงินตัดปีตามฎีกา 5 ฉบับ เอาเงินไปโดยไม่มีหลักฐานการจ่ายให้แก่ผู้รับเงิน การกระทำของจำเลยดังกล่าวซึ่งเป็นกรณีเบียดบังเอาเงินของผู้เสียหายไปโดยทุจริตคนละคราวต่างวาระกันการกระทำของจำเลยแต่ละคราวเป็นความผิดสำเร็จเป็นคราว ๆ ไปในตัว จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ได้กระทำ 2 ครั้ง จึงเป็นความผิดสองกรรมที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share