แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) กระทงหนึ่ง และมาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364อีกกระทงหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเป็นกรณีที่พิพากษาแก้เพียงว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท อันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย และฎีกาของโจทก์ ที่ว่าศาลไม่ควรลดโทษให้จำเลยเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ ในการลงโทษแก่จำเลยล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกา
จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายที่ 1 โดยมีเจตนาอันเดียวคือมุ่งหมายที่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 เท่านั้น แต่การที่ผู้เสียหายที่ 3ซึ่งอยู่คนละบ้านกับผู้เสียหายที่ 1 จะเข้ามาช่วยผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรผู้เสียหายที่ 1 จำเลยจึงใช้ไม้รวกตีผู้เสียหายที่ 3 จนแขนหัก เจตนาทำร้ายผู้เสียหายที่ 3 เพิ่งเกิดขึ้นภายหลัง แยกออกจากเจตนาบุกรุกได้ มิใช่เป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียวคือเพื่อทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 3จึงมิใช่กรรมเดียว แต่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2538 เวลากลางคืน ก่อนเที่ยงจำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยพกอาวุธมีดปลายแหลม 1 เล่ม ติดตัวไปบริเวณหมู่ที่ 2 ตำบลบางป่า อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี อันเป็นเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร และจำเลยได้บุกรุกเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานของนายแฉล้ม ทองเกษร ผู้เสียหายที่ 1 โดยมีอาวุธมีดดังกล่าวไปด้วย แล้วจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายที่ 1 โดยใช้มือตบที่ใบหน้าผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 1 ครั้ง ถูกใบหน้าด้านซ้าย แต่ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จากนั้นจำเลยชักอาวุธมีดปลายแหลมดังกล่าวไล่แทงทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 และเด็กชายสุรีรัตน์ยะมะคุปย์ ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งขณะนั้นผู้เสียหายที่ 1 กำลังอุ้มผู้เสียหายที่ 2 ไว้ที่เอวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ตกจากเอวของผู้เสียหายที่ 1 ได้รับบาดเจ็บต้องรักษาตัวประมาณ 7 วัน และผู้เสียหายที่ 1 ใช้มือซ้ายปัดป้องไม่ให้จำเลยเข้ามาใกล้เป็นเหตุให้มือซ้ายของผู้เสียหายที่ 1 ถูกเสาราวตากผ้ามีอาการปวดต้องรักษาประมาณ 7 วัน และจำเลยได้ใช้ไม้รวก 1 อัน ขนาดโต 3 นิ้ว ยาว 1 เมตรครึ่งเป็นอาวุธตีทำร้ายนางชุบ ยะมะคุปย์ ผู้เสียหายที่ 3 จำนวน 1 ครั้ง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 3 ได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้ายท่อนล่างด้านในหัก ข้อมือซ้ายบวม ได้รับอันตรายแก่กายสาหัสต้องทุพพลภาพป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 295, 297(8), 364, 365, 371, 391
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8), 365(3) ประกอบมาตรา 264 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัส จำคุก 2 ปี ฐานบุกรุกจำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 2 ปี6 เดือน ส่วนข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 2 ปี ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) กระทงหนึ่งและมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364 อีกกระทงหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายแล้วทำร้ายผู้เสียหายที่ 3 ทันที เป็นการกระทำต่อเนื่องในคราวเดียวกัน จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่เพียงว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทอันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย และฎีกาของโจทก์ข้อ 2 ข. ที่ว่าศาลไม่ควรลดโทษให้จำเลยเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ในการลงโทษแก่จำเลยล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาของโจทก์และของจำเลยในข้อนี้ ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็น 2 กรรมนั้น เมื่อคดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังที่ได้วินิจฉัยข้างต้น ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 7 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายที่ 1 แล้ววิ่งไล่ผู้เสียหายที่ 1 ผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งเป็นมารดาสามีผู้เสียหายที่ 1 และมีบ้านอยู่ติดบ้านผู้เสียหายที่ 1 ได้ยินเสียงผู้เสียหายที่ 2บุตรผู้เสียหายที่ 1 ร้องไห้อยู่ที่พื้นดิน จะเข้าไปอุ้มผู้เสียหายที่ 2 จำเลยจึงทำร้ายผู้เสียหายที่ 3 ได้รับอันตรายสาหัส เห็นว่าการที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายที่ 1 ก็โดยมีเจตนาอันเดียวคือมุ่งหมายที่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 เท่านั้น แต่การที่ผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งอยู่คนละบ้านกับผู้เสียหายที่ 1 จะเข้ามาอุ้มผู้เสียหายที่ 2 จำเลยจึงใช้ไม้รวกตีผู้เสียหายที่ 3 จนแขนหัก เจตนาที่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 3เพิ่งเกิดขึ้นภายหลังจึงแยกออกจากกันได้จากเจตนาบุกรุก หาใช่เป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียวคือเพื่อทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 3 ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยไม่ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่กรรมเดียวแต่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8), 365(3) ประกอบด้วยมาตรา 364 ข้อหาทำร้ายร่างกายจำคุก 2 ปี ข้อหาบุกรุก จำคุก 6 เดือน ลดโทษให้ข้อหาละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ข้อหาทำร้ายร่างกายคงจำคุก1 ปี 6 เดือน ข้อหาบุกรุกคงจำคุก 4 เดือน 15 วัน รวมจำคุก 1 ปี 10 เดือน15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7