คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 774/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินอันเกิดแต่มูลละเมิดจากจำเลยเมื่อพ้นปีหนึ่ง โดยอ้างว่าเพิ่งรู้ตัวจำเลยว่าจะต้องรับผิดและจำเลยให้การต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น เป็นหน้าที่โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าคดีของตนไม่ขาดอายุความหากไม่สืบก็ต้องถือว่าขาดอายุความแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2496 ถึงกุมภาพันธ์ 2502จำเลยดำรงตำแหน่งป่าไม้จังหวัดตราด ปฏิบัติราชการประมาทปราศจากความระมัดระวัง เป็นเหตุให้นายวัลลภข้าราชการสำนักงานป่าไม้จังหวัดตราดทุจริตปลอมแปลงเอกสารราชการและยักยอกเงินค่าขายไม้ฟืนป่าเลนอันเป็นเงินผลประโยชน์ของแผ่นดินไป 138,032.97 บาท โจทก์เพิ่งทราบถึงตัวจำเลยซึ่งจะต้องชดใช้เงินจำนวนนี้ให้โจทก์ เมื่อ 8 พฤษภาคม 2504 ได้แจ้งให้จำเลยนำเงินมาชำระ ก็เพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยให้การหลายประการ และว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ

วันนัดชี้สองสถานโจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงหลายข้อ ศาลสอบโจทก์ว่าจะสืบข้อใดบ้าง โจทก์แถลงขอสืบข้อที่ว่านายวัลลภยักยอกเงินเพราะความประมาทของจำเลยศาลชั้นต้นพิเคราะห์เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมไม่เป็นฟ้องซ้ำ แต่ในมูลหนี้รายเดียวกันนี้ โจทก์เคยฟ้องนายจรัลนายวัลลภให้รับผิดมาแล้ว การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้อีก จึงเป็นฟ้องที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) และคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448(1) พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยได้ไม่ต้องห้าม ส่วนเรื่องอายุความฟ้องร้องนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่โจทก์แถลงในวันนัดชี้สองสถานเรื่องขอนำสืบเกี่ยวด้วยการกระทำของจำเลยที่เป็นละเมิดเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับประเด็นพิพาทเรื่องอายุความ ศาลจะหยิบยกคำแถลงนี้ขึ้นผูกมัดโจทก์ว่าไม่ขอสืบเรื่องอายุความหาได้ไม่ และเห็นว่าคดีมีประเด็นข้อเท็จจริงซึ่งจะต้องฟังจากพยานหลักฐานโจทก์จำเลยต่อไป จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีเสียใหม่

จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) และคดีของโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้อง

ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์กล่าวว่า จำเลยทำละเมิดระหว่าง พ.ศ. 2496 ถึง 2502 และใน พ.ศ. 2502 พนักงานอัยการได้ฟ้องนายจรัล นายวัลลภ เป็นคดีอาญาและคดีแพ่งฐานละเมิด แสดงว่าโจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและควรจะรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นอย่างดีแล้ว โจทก์มาฟ้องเรียกให้จำเลยชดใช้เงินรายนี้หลังจากมีการทำละเมิดแล้วตั้ง 3 ปีเศษ จำเลยก็ต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรค 1 โจทก์ย่อมรู้ประเด็นในเรื่องอายุความนี้ดี ในวันนัดชี้สองสถานศาลได้สอบถามโจทก์ว่าจะสืบข้อใดบ้าง โจทก์แถลงจะสืบในข้อที่เกี่ยวด้วยการกระทำของจำเลย ที่โจทก์อ้างว่าเป็นการละเมิด และยังแถลงย้ำว่าติดใจสืบเพียงเท่าที่แถลงไว้เช่นนี้เป็นการยืนยันให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบในเรื่องอื่นนอกจากข้อเกี่ยวด้วยการกระทำของจำเลยที่โจทก์อ้างว่าเป็นละเมิดเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่ามิใช่โจทก์ตั้งใจจะไม่สืบในประเด็นพิพาทเรื่องอายุความด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้ได้ความว่าคดีของตนไม่ขาดอายุความแล้ว คดีของโจทก์ก็ย่อมขาดอายุความฟ้องร้อง ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น โจทก์ไม่มีทางชนะคดีได้ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น

พิพากษากลับ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share