แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ตราที่ประทับของบริษัทโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจจะมิใช่ตราประทับอันเดียวกับตราที่ได้จดทะเบียนไว้ แต่ก็มีรูปลักษณ์ ขนาดและตัวอักษรชื่อบริษัทโจทก์เช่นเดียวกับที่จดทะเบียนไว้ ทำให้สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นตราของโจทก์ เมื่อกรรมการ 2 ใน 5 คน ลงชื่อกระทำการแทนบริษัทโจทก์ตามข้อบังคับถูกต้อง หนังสือมอบอำนาจจึงสมบูรณ์ใช้บังคับผูกพันโจทก์ได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 431,201 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ข้องต้นเงิน 413,127 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 413,127 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 กันยายน 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 เมษายน 2541) ต้องไม่เกิน 18,074 บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามหนังสือรับรองระบุว่ากรรมการที่มีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของโจทก์กระทำการแทนโจทก์ได้ การที่กำหนดให้ประทับตราสำคัญของโจทก์ลงในเอกสารต่าง ๆ เช่นนี้ก็เพื่อแสดงว่าบริษัทเป็นผู้ทำเอกสารนั้น แม้ตราที่ประทับในหนังสือมอบอำนาจไม่ใช่ตราประทับอันเดียวกับตราที่ได้จดทะเบียนไว้ แต่ก็มีรูปลักษณ์ ขนาด และอักษรชื่อบริษัทโจทก์เช่นเดียวกับตราที่จดทะเบียนไว้ สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นตราของโจทก์ เมื่อนายบวรและนายวิไชยกรรมการ 2 ใน 5 คน ของโจทก์ร่วมกันลงลายมือชื่อประทับตราดังกล่าวในหนังสือมอบอำนาจตรงตามข้อบังคับที่โจทก์กำหนดไว้ จึงมีผลว่าโจทก์เป็นผู้ทำหนังสือมอบอำนาจโดยถูกต้องสมบูรณ์ใช้บังคับผูกพันโจทก์ได้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องนำสืบว่าตราที่ประทับนั้นใช้อยู่เป็นประจำในกิจการของโจทก์ดังเช่นที่จำเลยฎีกากล่าวอ้าง โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา 3,000 บาท แทนโจทก์.