คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 773/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรมชลประทานซึ่งเป็นนิติบุคคล ย่อมมีสิทธิเป็นเจ้าของครอบครองและดูแลรักษาทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อใช้ตาม วัตถุประสงค์ของกรมชลประทานได้ การที่กรมชลประทานเอาที่ดินพิพาทให้จำเลยเช่าในเวลาที่กรมชลประทานยังไม่จำเป็นต้องใช้ ย่อมเป็นการกระทำในการดูแลทรัพย์สินของทางราชการเอาไว้ไม่ให้ผู้อื่นแย่งการครอบครองเอาไปโดยมิชอบโดยไม่ปรากฏว่าผิดต่อวัตถุประสงค์ของกรมชลประทาน เมื่อจำเลยสมัครใจเข้าทำสัญญากับกรมชลประทานและเป็นผู้ปฏิบัติผิดสัญญาเช่านั้น กรมชลประทานย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองและดูแลรักษาที่พิพาท จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากโจทก์เพื่อทำนามีกำหนด 1 ปี จำเลยได้เข้าทำนามาตลอดแต่ไม่ยอมเสียค่าเช่านาในปี 2520 และ 2521 รวม 2 ปีเป็นเงิน 1,725 บาท โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่าและให้นำค่าเช่าที่ค้างมาชำระ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยชำระค่าเช่าและค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์มิใช่เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเพราะไม่มีกฎหมายรับรองให้โจทก์มีอำนาจครอบครองที่ดินพิพาทได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ได้ขอที่ดินจำเลยทำนาแปลงทดลอง 3 ปี และจะคืนให้จำเลยแต่โจทก์ไม่ยอมคืนให้จำเลย ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยชำระค่าเช่าและค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า การที่โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ตามที่กฎหมายกำหนดกล่าวคือ มีหน้าที่สร้างการชลประทานเพื่อบำรุงการกสิกรรม ไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะแสวงหารายได้โดยการเอาที่ดินให้บุคคลอื่นเช่า การที่โจทก์เอาที่ดินให้บุคคลอื่นเช่าเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของโจทก์ สัญญาเช่าที่ดินพิพาทไม่มีผลบังคับ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย เห็นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลย่อมมีสิทธิเป็นเจ้าของครอบครองและดูแลรักษาทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อใช้ตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ได้ การที่โจทก์เอาที่ดินพิพาทให้จำเลยเช่าในเวลาที่โจทก์ยังไม่จำเป็นต้องใช้เป็นการกระทำในการดูแลรักษาทรัพย์สินของทางราชการเอาไว้ไม่ให้ผู้อื่นแย่งการครอบครองไปโดยมิชอบ ไม่ปรากฏว่าผิดต่อวัตถุประสงค์ของโจทก์แต่ประการใด ทั้งข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยสมัครใจทำสัญญาเช่ากับโจทก์เอง ฉะนั้นเมื่อจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาเช่าที่ทำไว้โดยชอบ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้

พิพากษายืน

Share