คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7727/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะที่จ่าสิบตำรวจ น. เข้าไปติดต่อซื้อ เมทแอมเฟตามีน ในบ้านจำเลยที่ 2 พบจำเลยทั้งสามอยู่ในบ้าน จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 3เป็นผู้รับเงินค่า เมทแอมเฟตามีน แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้เป็นผู้เจรจาจำหน่าย เมทแอมเฟตามีน และมิได้เป็นผู้ส่งมอบ เมทแอมเฟตามีน ให้แก่จ่าสิบตำรวจ น. ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 2 และร่วมอยู่ด้วยขณะที่มีการซื้อขาย เมทแอมเฟตามีน และเป็นผู้รับเงินด้วยตนเอง ย่อมส่อแสดงว่าจำเลยที่ 3 รู้เห็นด้วยในการกระทำความผิดฐานจำหน่าย เมทแอมเฟตามีน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางและคืนธนบัตรจำนวน 54,000 บาทที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 หลบหนี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ชั่วคราว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ซึ่งมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุกคนละ 12 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด8 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ส่วนที่โจทก์ขอให้คืนธนบัตรจำนวน54,000 บาทที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ ปรากฏจากคำเบิกความของผู้จับกุมว่าพนักงานสอบสวนมิได้ยึดเงินจำนวนดังกล่าวเป็นของกลางและเจ้าของได้รับคืนไปแล้ว คำขอในส่วนนี้ให้ยก

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยาของจำเลยที่ 3 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 761 เม็ด น้ำหนักสารบริสุทธิ์ 10.519 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวแก่เจ้าพนักงานตำรวจโดยวิธีการล่อซื้อ เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 2 ได้พร้อมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3กับยึดได้เมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวและธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อ 48,000 บาทจากจำเลยที่ 1 และจำนวน 6,000 บาท จากภายในบ้านจำเลยที่ 2 เป็นของกลางปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 มีว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำผิดตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โจทก์มีจ่าสิบตำรวจนิพนธ์ แสงเทียนเป็นพยานเบิกความว่ามูลเหตุที่มีการจับกุมจำเลยทั้งสามเนื่องจากก่อนเกิดเหตุสายลับแจ้งให้ทราบว่ามีการลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านจำเลยที่ 2พยานพยายามติดต่อขอซื้อ ในที่สุดมีการนัดหมายให้พยานไปรับเมทแอมเฟตามีนที่บ้านจำเลยที่ 2 ในช่วงเช้าของวันเกิดเหตุ พยานกับร้อยตำรวจเอกวีระศักดิ์แย้มแสง และพวก จึงร่วมกันวางแผนจับกุมโดยรวบรวมธนบัตรรวม 54,000บาท จากเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมแล้วมอบให้พยานนำไปล่อซื้อ ขณะที่พยานเข้าไปในบ้านจำเลยที่ 2 พบจำเลยทั้งสามอยู่ในบ้าน จำเลยที่ 1 เป็นผู้นำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาส่งมอบแก่พยาน พยานนับเมทแอมเฟตามีนได้761 เม็ด ระหว่างนั้นจำเลยที่ 2 ตกลงให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับเงินค่าเมทแอมเฟตามีนพยานจึงส่งมอบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อทั้งหมดให้จำเลยที่ 3พยานเก็บเมทแอมเฟตามีนทั้งหมดไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกจากบ้านจำเลยที่ 2 เมื่อมาถึงทางเท้าหน้าบ้านพยานพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ร้อยตำรวจเอกวีระศักดิ์กับพวกเข้าจับกุม ร้อยตำรวจเอกวีระศักดิ์เบิกความว่าขณะที่จ่าสิบตำรวจนิพนธ์เข้าไปซื้อเมทแอมเฟตามีนในบ้านจำเลยที่ 2 นั้นพยานยืนอยู่ที่หน้าบ้านจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นร้านขายของชำพยานทำทีว่าจะมาซื้อของ พยานยืนรออยู่ประมาณ 20 นาที จ่าสิบตำรวจนิพนธ์เดินออกมาแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าได้ซื้อเมทแอมเฟตามีนเรียบร้อยแล้ว พยานกับพวกจึงแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้น พบธนบัตรที่ตัวจำเลยที่ 1แต่มีจำนวนไม่ครบ 54,000 บาท จึงให้เจ้าพนักงานตำรวจในชุดจับกุมคนหนึ่งตรวจค้นบ้านจำเลยที่ 2 พบเงินส่วนที่เหลือ จึงยึดไว้เป็นของกลางได้แจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสามว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 3ให้การปฏิเสธ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความสอดคล้องต้องกันไม่มีข้อพิรุธพยานทั้งสองเข้าล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 ก็เพราะได้สืบสวนทราบว่าจำเลยที่ 2 มีพฤติกรรมในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ลูกค้าในซอยนารถสุนทร เมื่อล่อซื้อก็ได้เมทแอมเฟตามีนจำนวนถึง 761 เม็ด และธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อ ส่วนหนึ่งอยู่ที่ตัวจำเลยที่ 1 และอีกส่วนหนึ่งอยู่ในบ้านจำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้เป็นผู้เจรจาจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่จ่าสิบตำรวจนิพนธ์และมิได้เป็นผู้ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้แก่จ่าสิบตำรวจนิพนธ์ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 2 และร่วมอยู่ด้วยขณะที่มีการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนและเป็นผู้รับเงินด้วยตนเอง ย่อมส่อแสดงว่าจำเลยที่ 3 รู้เห็นด้วยในการกระทำผิด ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าจำเลยที่ 3 ไม่รู้เรื่องอะไรของภรรยาทุกเรื่องไปไม่ทราบมาก่อนว่าจำเลยที่ 2 ค้าเมทแอมเฟตามีนร่วมกับจำเลยที่ 1 นั้น ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาขอให้ลดโทษนั้น เห็นว่าศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 มาเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share