คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7724/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่กำหนดว่า ภายในระยะเวลา 3 ปีนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยที่ 1 จะไม่ไปประกอบธุรกิจประเภทเดียวกับธุรกิจของโจทก์ หรือมีส่วนร่วมส่งเสริมหรือสนับสนุนบุคคลอื่นในการประกอบธุรกิจประเภทเดียวกับธุรกิจของโจทก์ เป็นเพียงข้อจำกัดห้ามประกอบอาชีพอันเป็นการแข่งขันกับโจทก์โดยระบุจำกัดประเภทธุรกิจไว้อย่างชัดเจน ไม่ได้ห้ามประกอบอาชีพอันเป็นการปิดทางทำมาหาได้ของจำเลยที่ 1 อย่างเด็ดขาด โดยยังสามารถประกอบอาชีพหรือทำงานในด้านอื่นที่อยู่นอกเหนือข้อตกลงได้ ทั้งข้อห้ามดังกล่าวก็มีผลเพียง 3 ปีเท่านั้น จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่รักษาสิทธิและประโยชน์ของคู่กรณีที่เป็นไปโดยชอบในเชิงการประกอบธุรกิจ ไม่เป็นการปิดทางทำมาหาได้ของฝ่ายใดโดยเด็ดขาดจนไม่อาจดำรงอยู่ได้ จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่เป็นโมฆะ และเป็นธรรมแก่คู่กรณีแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 38,040 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะออกจากงาน
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อแรกของโจทก์ว่า บริษัทเบเยอร์ จำกัด นายจ้างใหม่ของจำเลยที่ 1 หลังจากจำเลยที่ 1 ลาออกจากโจทก์ เป็นบริษัทที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการขายสินค้าชนิดและประเภทเดียวกันกับสินค้าของโจทก์ อันมีลักษณะเป็นคู่แข่งทางการค้ากับโจทก์หรือไม่ ปัญหานี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายสีทาอาคารในประเทศไทยและต่างประเทศ ส่วนบริษัทเบเยอร์ จำกัด ก็ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายสีทาอาคารภายในประเทศไทยเช่นเดียวกัน จึงเห็นว่าโจทก์กับบริษัทดังกล่าวประกอบธุรกิจขายสินค้าที่เป็นชนิดและประเภทเดียวกันในประเทศไทยที่มีลักษณะเป็นคู่แข่งทางการค้าต่อกัน กรณีต้องด้วยสัญญาจ้างงานที่ว่าจำเลยที่ 1 ต้องไม่มีส่วนร่วมส่งเสริมหรือสนับสนุนบุคคลอื่นในการประกอบธุรกิจประเภทเดียวกับธุรกิจของโจทก์ภายใน 3 ปี นับตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อสองของโจทก์ว่า สัญญาจ้างงานมีผลใช้บังคับหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า สัญญาจ้างงาน ข้อ 8 ดังกล่าวมีข้อความว่า ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ได้พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยที่ 1 จะไม่ไปประกอบธุรกิจประเภทเดียวกับธุรกิจของโจทก์ หรือมีส่วนร่วมส่งเสริมหรือสนับสนุนบุคคลอื่นในการประกอบธุรกิจประเภทเดียวกับธุรกิจของโจทก์ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์ ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ข้างต้นเป็นเพียงข้อจำกัดห้ามการประกอบอาชีพอันเป็นการแข่งขันกับโจทก์โดยระบุจำกัดประเภทธุรกิจไว้อย่างชัดเจน ไม่ได้ห้ามประกอบอาชีพอันเป็นการปิดทางทำมาหาได้ของจำเลยที่ 1 อย่างเด็ดขาด จำเลยที่ 1 ยังสามารถประกอบอาชีพหรือทำงานในด้านอื่นที่อยู่นอกเหนือข้อตกลงนี้ได้ ทั้งข้อห้ามจำเลยที่ 1 ตามข้อตกลงก็มีผลเพียง 3 ปี นับแต่จำเลยที่ 1 พ้นจากการเป็นพนักงานของโจทก์เท่านั้น จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่รักษาสิทธิและประโยชน์ของคู่กรณีที่เป็นไปโดยชอบในเชิงของการประกอบธุรกิจ ไม่เป็นการปิดทางทำมาหาได้ของฝ่ายใดโดยเด็ดขาดจนไม่อาจดำรงอยู่ได้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่เป็นโมฆะ และเป็นธรรมแก่คู่กรณีแล้วมีผลใช้บังคับได้ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างงาน ข้อ 8 ต่อโจทก์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการผิดสัญญาของจำเลยที่ 1 หรือไม่ เป็นจำนวนเท่าใด แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share