คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7693/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การนับระยะเวลาไม่นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมเข้าด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/3 วรรคสอง โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 25 ตุลาคม 2543 อันเป็นวันสุดท้ายของกำหนดอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2541 ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้รับมอบสินค้าที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยที่ 1 ครั้งแรกสิทธิเรียกร้องทั้งหมดของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยที่ 1 เป็นสุขาภิบาลตามพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ.2495 ต่อมามีพระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะเป็นเทศบาลตำบลซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลมีจำเลยที่ 2 เป็นนายกเทศมนตรี ระหว่างวันที่ 25 มิถุนายน 2541 ถึงวันที่ 20 มกราคม 2542 จำเลยที่ 1 จ้างโจทก์ติดตั้งมอเตอร์ปั๊มน้ำตู้แมกเนติก พร้อมอุปกรณ์เป็นเงินค่าจ้าง 166,754.15 บาท วันที่ 18 พฤศจิกายน 2541 จำเลยที่ 1 จ้างโจทก์ซ่อมบำรุงอาคารประปาเป็นเงินค่าจ้าง 44,846.91 บาท วันที่ 9 ธันวาคม 2541 จำเลยที่ 1 จ้างโจทก์ย้ายท่อประปาเป็นเงินค่าจ้าง 47,154.90 บาท วันที่ 19 มกราคม 2542 จำเลยที่ 1 จ้างโจทก์ซ่อมบำรุงโรงกรองน้ำประปาเป็นเงินค่าจ้าง 9,914.62 บาท วันที่ 21 มกราคม 2542 จำเลยที่ 1 จ้างโจทก์ซ่อมบำรุงต่อเติมท่อประปาใส่รถดับเพลิงเป็นเงินค่าจ้าง 32,613.60 บาท โจทก์ดำเนินการตามที่รับจ้างในแต่ละครั้งแล้วเสร็จโดยทันทีและส่งมอบงานแก่จำเลยที่ 1 แล้ว นอกจากนี้เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2541 จำเลยที่ 1 ซื้อวัสดุอุปกรณ์เพื่อใช้ในการประปาตำบลโคกปีบจากโจทก์หลายรายการรวมเป็นเงิน 28,005 บาท วันที่ 18 พฤศจิกายน 2541 จำเลยที่ 1 ซื้อวัสดุอุปกรณ์ใช้ในการประปาตำบลโคกปีบจากโจทก์หลายรายการรวมเป็นเงิน 29,965.35 บาท และวันที่ 17 มีนาคม 2542 จำเลยที่ 1 ซื้อคลอรีนจากโจทก์จำนวน 1 ถัง เป็นเงิน 3,700 บาท โจทก์ส่งมอบวัสดุอุปกรณ์ที่ซื้อให้จำเลยที่ 1 ถูกต้องแล้ว รวมค่าจ้างและค่าสินค้าเป็นเงิน 362,954.53 บาท แต่จำเลยที่ 1 มิได้ชำระค่าจ้างและค่าสินค้าดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในฐานะนายกเทศมนตรีต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบงานจ้างแก่จำเลยที่ 1 และนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 รับสินค้าไปจากโจทก์ โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 406,055 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 362,954.53 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยทั้งสองไม่เคยจ้างโจทก์ทำการงานและซื้อสินค้าจากโจทก์ตามฟ้อง จำเลยที่ 1 เพิ่งมีฐานะเป็นเทศบาลเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2542 และจำเลยที่ 2 เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายกเทศมนตรีของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2543 จำเลยทั้งสองไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์และฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องคดีเกิน 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 362,954.53 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 มีนาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (วันที่ 25 ตุลาคม 2543) ให้ไม่เกิน 43,100.84 บาท ตามที่โจทก์ขอ และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความรวม 5,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า เดิมจำเลยที่ 1 เป็นสุขาภิบาล ต่อมาเปลี่ยนเป็นเทศบาลตำบลตามพระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ.2542 ตามฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 ได้จ้างโจทก์ทำการงานและซื้อสินค้าจากโจทก์ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 เป็นสุขาภิบาล จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจำเลยที่ 1 ไม่เคยจ้างโจทก์ทำการงานและซื้อสินค้าจากโจทก์ตามฟ้อง และฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าระหว่างที่จำเลยที่ 1 เป็นสุขาภิบาลโคกปีบได้จางโจทก์ทำการงานซื้อสินค้าและเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง การเปลี่ยนแปลงฐานะจากสุขาภิบาลเป็นเทศบาลตำบลต้องโอนทรัพย์สินรวมทั้งหนี้สินของสุขาภิบาลที่มีอยู่เป็นของเทศบาล จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ แต่โจทก์ฟ้องคดีเกิน 2 ปี นับแต่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ คดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 และพิพากษายกฟ้อง โจทก์โดยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาแล้วเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จึงพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ตามที่ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงมา ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ทำการงานและซื้อสินค้าจากโจทก์ตามฟ้องนั้น เห็นว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยในประเด็นทั้งสองข้อที่จำเลยที่ 1 ฎีกาดังกล่าว ซึ่งเป็นประเด็นที่จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ไว้แล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องโจทก์เนื่องจากเห็นว่าคดีขาดอายุความโดยจำเลยที่ 1 ไม่จำต้องอุทธรณ์ในประเด็นข้ออื่นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเป็นคุณแก่โจทก์ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่าคดีไม่ขาดอายุความ หากจำเลยที่ 1 ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายแพ้ในประเด็นข้อใดอย่างไร จำเลยที่ 1 ก็ชอบที่จะต้องโต้แย้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์ด้วย แต่ปรากฏว่าคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 คงกล่าวแก้เฉพาะแต่ประเด็นเรื่องอายุความที่โจทก์อุทธรณ์เท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมและจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง ปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 จะยกขึ้นฎีกาอีกไม่ได้เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความนั้นในข้อนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า โจทก์ต้องฟ้องคดีภายในกำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) โดยนับขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป คือนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ได้รับมอบการงานที่ทำและรับมอบสินค้าที่ซื้อแต่ละครั้ง จำเลยที่ 1 ได้รับมอบงานจากโจทก์วันที่ 18 พฤศจิกายน 2541 วันที่ 9 ธันวาคม 2541 วันที่ 19 มกราคม 2542 วันที่ 20 มกราคม 2542 และวันที่ 21 มกราคม 2542 ตามลำดับ และได้รับมอบสินค้าจากโจทก์วันที่ 25 ตุลาคม 2541 วันที่ 18 พฤศจิกายน 2541 และวันที่ 17 มีนาคม 2542 ตามลำดับ การนับระยะเวลาไม่นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมเข้าด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/3 วรรคสอง โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 25 ตุลาคม 2543 อันเป็นวันสุดท้ายของกำหนดอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2541 ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้รับมอบสินค้าที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยที่ 1 ครั้งแรก สิทธิเรียกร้องทั้งหมดของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 1 ฎีกามีใจความว่า จำเลยที่ 1 เห็นว่าอายุความเริ่มนับแต่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องวันที่ 25 ตุลาคม 2541 ซึ่งเป็นวันแรกที่ปรากฏในเอกสารใบส่งของ โจทก์หามีสิทธิเรียกร้องในวันที่ 20 มกราคม 2542 ไม่ โจทก์ฟ้องวันที่ 25 ตุลาคม 2543 จึงขาดอายุความ 2 ปีแล้ว เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ไม่ตรงกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่วินิจฉัยว่า โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องนับแต่จำเลยที่ 1 ได้รับมอบงานที่ทำและรับมอบสินค้าจากโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องในหนี้และระยะเวลาสิ้นสุดอายุความขึ้นตามความเห็นของจำเลยที่ 1 เพียงลอยๆ โดยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยชัดแจ้งว่าวินิจฉัยไม่ถูกต้องด้วยเหตุผลอย่างไร อันเป็นฎีกาไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นเดียวกัน”
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1 คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาให้จำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากนี้ให้เป็นพับ

Share