คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้ทำสัญญากู้ยืมเงินรวมทั้งลายมือชื่อส. ผู้ให้สัญญาด้วยตนเองเมื่อปี2536ภายหลังที่ส. ถึงแก่ความตายไปแล้วในปี2533และลงวันที่ย้อนหลังไปว่าได้ทำสัญญาดังกล่าวขึ้นเมื่อวันที่15ธันวาคม2531ทำให้เห็นว่าสัญญาดังกล่าวทำขึ้นระหว่างส. กับจำเลยในขณะที่ส. ยังมีชีวิตอยู่และใจความของสัญญาดังกล่าวที่ว่าส.กู้ยืมเงินจำเลย100,000บาทถ้าส.ไม่คืนเงินจำนวนดังกล่าวส.ยอมโอนที่ดินสวนยาวพาราเนื้อที่14ไร่1งานแก่จำเลยนั้นนอกจากไม่เป็นความจริงแล้วยังน่าจะเกิดความเสียหายแก่ทายาทของส. อีกด้วยและเหตุที่จำเลยทำเอกสารดังกล่าวขึ้นเพื่อจะใช้อ้างกับด.ว่าที่ดินของส.เป็นของจำเลยและจะได้เรียกร้องค่าเสียหายต่อไปซึ่งทำให้เห็นได้ว่าการที่จำเลยกระทำดังกล่าวเพื่อให้ด. หลงเชื่อว่าเอกสารสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นเอกสารที่แท้จริงดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา265 ข้อความที่ว่า”โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา264นั้นไม่ใช่การกระทำโดยแท้และไม่ใช่เจตนาพิเศษจึงไม่เกี่ยวกับเจตนาแต่เป็นพฤติการณ์ที่ประกอบการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายได้แม้จะไม่เกิดความเสียหายขึ้นจริงก็เป็นองค์ประกอบความผิดที่พิจารณาได้จากความคิดธรรมดาของบุคคลทั่วไปในลักษณะเดียวกับจำเลยส่วนคำว่าผู้หนึ่งผู้ใดในข้อความที่ว่า”ได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง”นั้นแสดงว่านอกจากเป็นการกระทำโดยเจตนาแล้วยังต้องมีเจตนาพิเศษในการกระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงด้วยโดยมิได้เจาะจงผู้ที่ถูกกระทำให้หลงเชื่อไว้โดยเฉพาะว่าจะต้องเป็นผู้ใดดังนั้นการที่จำเลยเจตนากระทำเอกสารปลอมขึ้นเพื่อให้ด. หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงก็เป็นความผิดแล้วแม้จำเลยยังมิได้นำเอกสารดังกล่าวไปใช้แสดงต่อด.ก็ตามทั้งบุคคลที่จะถูกทำให้หลงเชื่อนี้กฎหมายมิได้กำหนดว่าจำต้องเกี่ยวโยงเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกับบุคคลที่น่าจะเกิดความเสียหายเพราะการกระทำของจำเลยคือทายาทของส. แต่อย่างใดแต่อาจเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา265แล้วกรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา264อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 ประกอบมาตรา 264 ให้จำคุก 6 เดือน
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าประมาณกลางปี 2536 จำเลยเป็นผู้ทำสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย จ.3 ขึ้นทั้งฉบับ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิหรือไม่โจทก์มีนายม่าดีบุตรนายสูโม๊ะเบิกความเป็นพยานว่าลายมือชื่อนายสูโม๊ะในช่องผู้ให้สัญญาในเอกสารหมาย จ.1(ซึ่งมีต้นฉบับตามเอกสารหมาย จ.3) ไม่ใช่ลายมือชื่อนายสูโม๊ะและนายสูโม๊ะไม่เคยกู้ยืมเงินผู้ใด นายม่าดีเข้าใจว่าจำเลยทำเอกสารดังกล่าวเพื่อฉ้อโกงที่ดินจำนวน 14 ไร่เศษของนายสูโม๊ะ นายสูโม๊ะถึงแก่กรรมแล้วเมื่อปี 2533 การที่เอกสารหมาย จ.1 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2531 เป็นการลงวันที่ย้อนหลังเห็นว่า จำเลยนำสืบฟังว่า จำเลยเป็นผู้ทำสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเพื่อนำไปเรียกร้องค่าเสียหายจากนายแดง ปานขวัญผู้ทำไฟไหม้สวนของจำเลยของนายสูโม๊ะและของนายสุมง สมัยพิทักษ์เมื่อต้นเดือนเมษายน 2535 โดยจำเลยทำสัญญาดังกล่าวขึ้นหลังจากเกิดไฟไหม้เกือบ 1 ปี ซึ่งในขณะเกิดเหตุไฟไหม้นายสูโม๊ะพ่อตาจำเลยได้เสียชีวิตแล้ว และจำเลยเบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า ข้อความตามเอกสารหมาย จ.3 ตลอดจนลายมือชื่อของนายสูโม๊ะล้วนเป็นลายมือของจำเลย เหตุที่ทำเอกสารดังกล่าวขึ้นเพื่อจะใช้อ้างกับนายแดงว่าที่ดินของนายสูโม๊ะเป็นของจำเลยและจะได้เรียกร้องค่าเสียหายต่อไป อันเป็นการเจือสมข้อนำสืบของโจทก์ทำให้ฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้ทำสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย จ.3รวมทั้งลายมือชื่อนายสูโม๊ะผู้ให้สัญญาด้วยตนเองเมื่อปี 2536ภายหลังที่นายสูโม๊ะถึงแก่ความตายไปแล้วในปี 2533 และลงวันที่ย้อนหลังไปว่าได้ทำสัญญาดังกล่าวขึ้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2531ทำให้เห็นว่าสัญญาดังกล่าวทำขึ้นระหว่างนายสูโม๊ะกับจำเลยในขณะที่นายสูโม๊ะยังมีชีวิตอยู่ และใจความของสัญญาดังกล่าวที่ว่านายสูโม๊ะกู้ยืมเงินจำนวน 100,000 บาท ถ้านายสูโม๊ะไม่คืนเงินจำนวนดังกล่าวนายสูโม๊ะยอมโอนที่ดินสวนยางพาราเนื้อที่ 14 ไร่1 งาน แก่จำเลยนั้นนอกจากไม่เป็นความจริงแล้วยังน่าจะเกิดความเสียหายแก่ทายาทของนายสูโม๊ะอีกด้วย และจำเลยเบิกความไว้ชัดแจ้งแล้วว่า เหตุที่จำเลยทำเอกสารดังกล่าวขึ้นเพื่อจะใช้อ้างกับนายแดงว่าที่ดินของนายสูโม๊ะเป็นของจำเลย และจะได้เรียกร้องค่าเสียหายต่อไป ซึ่งทำให้เห็นได้ว่าการที่จำเลยกระทำดังกล่าวเพื่อให้นายแดงหลงเชื่อว่าเอกสารสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นเอกสารที่แท้จริง ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิที่จำเลยฎีกาว่าข้อความในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 ที่ว่า “โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง” เมื่อศาลวินิจฉัยว่าทายาทของนายสูโม๊ะเป็นผู้ที่น่าจะได้รับความเสียหาย ดังนั้นผู้ที่หลงเชื่อตามเอกสารที่จำเลยกระทำก็น่าจะต้องหมายถึงทายาทของนายสูโม๊ะด้วย มิได้หมายความถึงนายแดงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยและไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาทำให้ผู้เสียหายในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพียงแต่จำเลยเบิกความว่าจะนำไปแสดงเท่านั้นแต่ยังมิได้นำไปแสดงแต่ประการใดนั้นเห็นว่า ข้อความที่ว่า “โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” ไม่ใช่การกระทำโดยแท้ และไม่ใช่เจตนาพิเศษ จึงไม่เกี่ยวกับเจตนา แต่เป็นพฤติการณ์ที่ประกอบการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายได้แม้จะไม่เกิดความเสียหายขึ้นจริงก็เป็นองค์ประกอบความผิดที่พิจารณาได้จากความคิดธรรมดาของบุคคลทั่วไปในลักษณะเดียวกับจำเลย ส่วนคำว่าผู้หนึ่งผู้ใดในข้อความที่ว่า”ได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง”นั้น แสดงว่านอกจากเป็นการกระทำโดยเจตนาแล้วยังต้องมีเจตนาพิเศษในการกระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงด้วย โดยมิได้เจาะจงผู้ที่ถูกกระทำให้หลงเชื่อไว้โดยเฉพาะว่าจะต้องเป็นผู้ใด ดังนั้น การที่จำเลยเจตนากระทำเอกสารหมาย จ.3ขึ้นเพื่อทำให้นายแดงหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงก็เป็นความผิดแล้ว แม้จำเลยยังมิได้นำเอกสารหมาย จ.3 ไปใช้แสดงต่อนายแดงก็ตาม ทั้งบุคคลที่จะถูกทำให้หลงเชื่อนี้กฎหมายมิได้กำหนดว่าจำต้องเกี่ยวโยงเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกับบุคคลที่น่าจะเกิดความเสียหายเพราะการกระทำของจำเลยดังจำเลยฎีกาจึงเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ได้ แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 6 เดือนนั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยรับโทษจำคุกมาก่อนและการจำคุกจำเลยในระยะเวลาอันสิ้นไม่น่าจะเกิดผลดีในการแก้ไขให้จำเลยเป็นพลเมืองดีได้ นอกจากนี้ยังทำให้มีประวัติเสียหายติดตัวด้วย สมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีสักครั้งหนึ่งโดยรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย แต่เพื่อให้หลาบจำเห็นสมควรลงโทษปรับจำเลยอีกโสดหนึ่งด้วย
อนึ่ง เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 แล้ว กรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 อีก
ศาลชั้นต้นแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 และให้ปรับจำเลยเป็นเงิน 4,000 บาท อีกโสดหนึ่งให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ค่าปรับไม่ชำระให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share