แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาจำนองเป็นการทำหนังสือจดทะเบียนไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตราทรัพย์สินของตนไว้เป็นประกันการชำระหนี้สาระสำคัญแห่งการจำนองจึงอยู่ที่ข้อความในหนังสือสัญญาจำนองที่จดทะเบียนไว้สิ่งที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงก็คือ สัญญาจำนองที่ได้จดทะเบียนไว้นั้นเมื่อสัญญาจำนองระบุไว้ชัดเจนแล้วว่า จำเลยจำนองที่ดินเต็มทั้งโฉนด และสิ่งปลูกสร้างจำนองด้วยทั้งสิ้นจำเลยจะนำสืบว่าได้ตกลงจำนองกันเพียงที่ดินและห้องแถวเพียง16 ห้องในจำนวน 22 ห้องที่มีอยู่ในเวลาทำสัญญานั้นหาได้ไม่ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
แม้เอกสารสัญญาก้ที่ลูกหนี้ได้ทำไว้กับโจทก์ก่อนหน้าที่จำเลยทำสัญญาจำนองจะได้กล่าวถึงตึกแถวว่าจำนวน 16 คูหาก็ดี ก็เป็นความตกลงคนละเรื่องคนละรายกับสัญญาจำนองรายนี้
แม้ในสัญญาจำนองจะได้กล่าวไว้ว่า ข้อสัญญาอื่นๆเป็นไปตามสัญญากู้ที่ลูกหนี้ทำไว้กับโจทก์และตามสัญญากู้กล่าวว่าจำนอง 16 ห้องแต่เมื่อสัญญาจำนองระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าจำนองที่ดินทั้งโฉนดพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างด้วยทั้งสิ้น (22 ห้อง) ข้อที่ว่าจะจำนองสิ่งปลูกสร้างมากน้อยเพียงใดจึงไม่ใช่ข้อสัญญาอื่นๆนอกสัญญาจำนองดังนั้นจะตีความว่าจำนองเพียง 16 ห้องตามที่กล่าวในสัญญากู้หาได้ไม่
แม้จะถือว่ากรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยชักถอนทรัพย์จำนองบางส่วนออกไปเมื่อยังมิได้จัดการแก้ทะเบียนที่ได้ตราไว้ก็ไม่กระทบกระเทือนสัญญาจำนองที่มีอยู่
ธนาคารอุตสาหกรรมร้องขอให้ศาลสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนองของผู้จำนองหลายรายซึ่งตราไว้เป็นประกันหนี้รายเดียวกัน ในวงเงินต่างๆ กันผู้จำนองร่วมกันทำคำแถลงต่อสู้คดีโดยขอให้ศาลยกคำร้องดังกล่าวนั้น เป็นการดำเนินคดีร่วมกัน มิได้เสนอต่อศาลขอแบ่งแยกพิพาทเรียงรายตัวบุคคลดังนั้น เมื่อผู้จำนองแพ้คดีศาลย่อมพิพากษาให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนฝ่ายที่ชนะคดีได้ ไม่จำต้องแบ่งส่วนตามจำนวนเงินที่แต่ละคนจำนอง
ย่อยาว
โจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์เป็นธนาคารอุตสาหกรรมตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติธนาคารอุตสาหกรรม พ.ศ. 2495 บริษัทภิญญาวัฒน์จำกัด (จำเลยที่ 1) ลูกหนี้ได้กู้เงินจากโจทก์ไป 3,500,000 บาท โดยให้หลักทรัพย์ตามบัญชีรายละเอียดเป็นประกัน ในการกู้เงินนี้ มีผู้นำทรัพย์มาจำนองเป็นประกัน 7 รายการ (ผู้จำนองคือจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7) โดยประกันเงินจำนวนต่าง ๆ กัน บัดนี้จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์ได้ทวงหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองให้ลูกหนี้และผู้จำนองทราบแล้วก็ไม่ปฏิบัติตาม รวมต้นเงินและดอกเบี้ยค้าง 3,925,495 บาท ตาม มาตรา 32แห่งพระราชบัญญัติธนาคารอุตสาหกรรม พ.ศ. 2495 ธนาคารมีสิทธิที่จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลเพื่อขายทอดตลาดทรัพย์ ที่ได้จำนำจำนองหรือมอบให้โดยประการอื่นเพื่อเป็นประกันเงินกู้ ขอให้ศาลสั่งไต่สวนและขายทอดตลาดทรัพย์เอาเงินชำระหนี้โจทก์
จำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้และจำเลยนอกนั้นซึ่งเป็นผู้จำนองยื่นคำแถลงคัดค้านขอให้ยกคำร้องโดยอ้างเหตุหลายประการ
ศาลชั้นต้นให้ดำเนินคดีอย่างมีข้อพิพาท และให้เรียกผู้ร้องว่าโจทก์ เรียกผู้แถลงคัดค้านว่าจำเลย
คดีขึ้นสู่ศาลฎีกาเฉพาะการจำนองของนายชัยรัตน์ ภิญญาวัฒน์จำเลยที่ 2 โดยจำเลยนี้ต่อสู้ว่าที่ดินโฉนดที่ 2151 ซึ่งมีตึกแถวปลูกอยู่ 22 ห้องนั้น จำเลยจำนองเพียง 16 ห้องเท่านั้น อีก 6 ห้องมิได้จำนองด้วย
ศาลแพ่งฟังว่า การจำนองรวมถึงตึกแถวทั้ง 22 ห้อง จึงพิพากษาว่า โดยเฉพาะโฉนดที่ 2151 การขายทอดตลาดให้ขายทั้งแปลงและตึกแถว 22 คูหา
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 702 และ714 แล้ววินิจฉัยว่าสัญญาจำนองเป็นการทำหนังสือจดทะเบียนไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตราทรัพย์สินของตนไว้เป็นประกันการชำระหนี้ฉะนั้น สาระสำคัญแห่งการจำนองจึงอยู่ที่ข้อความในหนังสือสัญญาจำนองที่จดทะเบียนไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น สิ่งที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ก็คือสัญญาจำนองที่ได้จดทะเบียนไว้จำเลยที่ 2 ได้ตกลงโดยระบุไว้ในสัญญาจำนองโดยชัดเจนแล้วว่าจำนองที่ดินเต็มทั้งโฉนด 2151 นั้นและสิ่งปลูกสร้างจำนองด้วยทั้งสิ้น ดังนี้ จำเลยจะนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารนั้นไปในทำนองที่ว่าได้ตกลงจำนองกันเพียงที่ดินและห้องแถวเพียง 16 ห้องในจำนวน 22 ห้องที่มีอยู่ในเวลาทำสัญญาจำนองหาได้ไม่ เป็นการต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังตามมาตรา 94 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แม้เอกสารสัญญากู้ที่บริษัทภิญญาวัฒน์ จำกัดทำไว้กับโจทก์ก่อนหน้าที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาจำนองจะได้กล่าวถึงตึกแถวว่าจำนวน 16 คูหา ก็ดี ก็เป็นความตกลงคนละเรื่องคนละรายกับสัญญาจำนองรายนี้
ข้อที่จำเลยที่ 2 โต้แย้งว่า ในสัญญาจำนองได้กล่าวไว้ว่า”ข้อสัญญาอื่น ๆ เป็นไปตามสัญญากู้เงิน ลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2496 ต่อท้าย” จะต้องตีความว่าจำนองเพียง 16 ห้องตามสัญญากู้เงินที่จำเลยที่ 1 ผู้กู้ทำไว้กับโจทก์) นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จะตีความเช่นนั้นไม่ได้เพราะในสัญญาจำนองระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าจำนองที่ดินทั้งโฉนดพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างจำนองด้วยทั้งสิ้น ข้อที่ว่าจะจำนองสิ่งปลูกสร้างมากน้อยเพียงใดจึงไม่ใช่ข้อสัญญาอื่น ๆ นอกสัญญาจำนอง
ข้อที่จำเลยที่ 3 นำสืบว่าจำเลยเคยขอโฉนดจากโจทก์ไปแบ่งแยกตึกแถว 6 ห้องพร้อมด้วยที่ดินออกจากโฉนดที่จำนอง นายสง่า กรรมการผู้จัดการของโจทก์ได้ตอบรับไม่ขัดข้อง นั้น ข้อนี้เห็นว่าไม่เป็นข้อที่จะนำมาสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารการจำนองให้เป็นการจำนองเพียง 16 ห้องได้ ดังนัยดังกล่าวแล้ว จะถือได้อย่างมากเพียงว่ากรรมการผู้จัดการได้ยินยอมให้จำเลยซักถอนทรัพย์สินที่จำนองไว้ในบางส่วนออกไป ซึ่งเมื่อยังมิได้จัดการแก้ทะเบียนจึงไม่กระทบกระเทือนสัญญาจำนองที่มีอยู่ได้
ที่จำเลยที่ 2 โต้แย้งในเรื่องค่าธรรมเนียมและค่าทนาย 40,000 บาท(ที่ศาลชั้นต้น) ให้จำเลยอื่น ๆ (นอกจากบริษัทศาลาเฉลิมธนจำกัด) เป็นผู้ใช้แทนโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 จะขอให้ศาลแบ่งส่วนตามจำนวนเงินในทรัพย์สินที่จำนองนั้น เห็นว่า จำเลยทั้ง 6 คนได้ร่วมกันทำคำแถลงต่อสู้คดีโจทก์ โดยขอให้ศาลยกคำร้องของโจทก์ เป็นการดำเนินคดีร่วมกันมิได้เสนอต่อศาลขอแยกพิพาทเรียงรายตัวบุคคลอย่างใดเลยศาลแพ่งพิพากษาให้ร่วมกันรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน