คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7680/2553

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยทำบันทึกข้อตกลงโอนสิทธิเรียกร้องค่าสินค้าที่จำเลยทั้งสองมีต่อลูกค้ารวม 23 รายให้แก่โจทก์ภายหลังจากนั้นจำเลยกลับใช้สิทธิเรียกร้องให้ลูกค้าบางรายชำระค่าสินค้าแก่จำเลย แต่สิทธิเรียกร้องดังกล่าวมิใช่วัตถุมีรูปร่างที่สามารถเคลื่อนที่ได้อันอาจจะมีการเอาไปได้ตามความหมายของคำว่า ทรัพย์ ในความผิดทางอาญาฐานลักทรัพย์ ทั้งการที่จำเลยทั้งสองไปขอรับเงินหรือเช็คค่าสินค้าจากลูกค้านั้น ก็ไม่ได้เป็นการกระทำแทนโจทก์ เงินและเช็คดังกล่าวจึงยังมิใช่ทรัพย์ของโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่มีมูลความผิดทางอาญาฐานลักทรัพย์ แต่เป็นเพียงการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงอันเป็นการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2545 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน ร่วมกันทำบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาทกับโจทก์ โดยตกลงโอนสิทธิเรียกร้องซึ่งจำเลยทั้งสองมีต่อลูกค้ารวม 23 ราย ให้แก่โจทก์ เพื่อเป็นการชำระหนี้ค่าสินค้าที่จำเลยทั้งสองค้างชำระโจทก์อยู่ ต่อมาระหว่างวันดังกล่าวถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2546 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสองร่วมกันไปขอรับเงินค่าสินค้าจากลูกค้าที่โอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์แล้ว และร่วมกันลักทรัพย์โดยรับเงินสดหรือเช็คในการชำระค่าสินค้าดังกล่าวจากลูกค้ารวม 19 ราย เป็นเงินรวม 16,189,619.87 บาท ไปโดยทุจริต เหตุเกิดที่หลายท้องที่ในเขตกรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดพิจิตร และจังหวัดเชียงใหม่ เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 334, 352
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์แม้จะฟังว่า ภายหลังจากจำเลยทั้งสองทำบันทึกข้อตกลงโอนสิทธิเรียกร้องค่าสินค้าที่จำเลยทั้งสองมีต่อลูกค้ารวม 23 รายให้แก่โจทก์และต่อมาจำเลยทั้งสองกลับใช้สิทธิเรียกร้องให้ลูกค้าบางรายชำระค่าสินค้าแก่จำเลยทั้งสอง แต่สิทธิเรียกร้องมิใช่วัตถุมีรูปร่างที่เคลื่อนที่ได้อันอาจจะมีการเอาไปได้ตามความหมายของคำว่า ทรัพย์ ในความผิดทางอาญาฐานลักทรัพย์ ทั้งการที่จำเลยทั้งสองไปขอรับเงินหรือเช็คค่าสินค้าจากลูกค้าตามฟ้องก็ไม่ได้เป็นการกระทำแทนโจทก์ เงินและเช็คดังกล่าวยังมิใช่ทรัพย์ของโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องจึงไม่มีมูลความผิดทางอาญาตามบทกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษ แต่เป็นเพียงไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงอันเป็นการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว คดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์ต่อไป”
พิพากษายืน

Share