คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามประกาศขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดเงื่อนไขในการขายว่า เมื่อตกลงรับซื้อแล้วผู้ซื้อจะต้องชำระเงินทันทีแต่ถ้าทรัพย์สินนั้นเป็นที่ดินหรือทรัพย์อย่างอื่นซึ่งมีราคาตั้งแต่ 10,000 บาท ขึ้นไปเจ้าพนักงานบังคับคดีอาจให้ผู้ซื้อวางเงินก่อนไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของราคาซื้อ และทำสัญญาใช้เงินที่ค้างชำระกับค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นถ้าหากมีภายในเวลาไม่เกิน 15 วันก็ได้ และตามรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นเงินมัดจำ แสดงว่าเงินจำนวน 50,000 บาทที่โจทก์วางไว้ในวันขายสำหรับการซื้อทรัพย์ครั้งก่อนเป็นการชำระหนี้ส่วนหนึ่งของราคาค่าซื้อ ไม่ใช่มัดจำ เมื่อโจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือ ศาลจึงสั่งริบไม่ได้ ในการขายทอดตลาดครั้งหลัง โจทก์เป็นผู้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น และเป็นผู้ซื้อทรัพย์ได้ในราคา 195,000 บาท เท่าเดิมทั้งโจทก์ได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว กรณีจึงไม่มีความเสียหายใด ๆต้องคืนเงินที่โจทก์วางไว้ในการซื้อทรัพย์ครั้งก่อนทั้งหมดให้โจทก์ การที่ต้องมีการขายทอดตลาดครั้งหลังเพราะโจทก์ไม่ชำระราคาภายในเวลาที่กำหนด โจทก์จึงเป็นฝ่ายที่ทำให้ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมในกระบวนพิจารณาใด ๆ ที่ได้ดำเนินไปโดยไม่จำเป็น จึงต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมส่วนนี้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน166,250 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยออกขายทอดตลาด โจทก์ซื้อได้เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2531 ราคา 195,000 บาท โจทก์ชำระเงินวันขายจำนวน 50,000 บาท ต่อมาวันที่ 1 สิงหาคม 2531โจทก์ชำระอีก 50,000 บาท และวันที่ 9 สิงหาคม 2531 โจทก์ชำระอีก 10,000 บาท คงค้างชำระ 85,000 บาท โจทก์ขอผัดชำระภายในวันที่ 1 กันยายน 2531 ครั้นวันที่ 1 กันยายน 2531 โจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นขอชำระเงินค่าซื้อทรัพย์อีก 10,000 บาทส่วนที่ค้างอีก 75,000 บาท ขอเลื่อนเวลาชำระเงินต่อไปเป็นวันที่3 ตุลาคม 2531 ถ้าศาลไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนเวลาชำระเงิน โจทก์ขอหักกลบลบหนี้กับจำเลยโดยโจทก์มิต้องวางเงิน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันไม่อนุญาตให้เลื่อนเวลาวางเงินและไม่อนุญาตให้หักกลบลบหนี้ โดยให้ประกาศขายทอดตลาดใหม่ ในการขายทอดตลาดใหม่โจทก์เป็นผู้ซื้อได้ในราคา 195,000 บาท และโจทก์ชำระราคาครบถ้วนแล้ว
วันที่ 11 ตุลาคม 2531 โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงิน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกัน ให้ริบเงินมัดจำที่โจทก์วางไว้ในการซื้อทรัพย์ครั้งก่อน
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ได้สั่งในวันที่ 11 ตุลาคม2531 โดยขอให้โจทก์มีสิทธิหักหนี้รายนี้ได้ หรือขอให้สั่งคืนเงินที่โจทก์วางไว้ต่อศาล ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า การที่โจทก์ไม่ชำระราคาทรัพย์ที่ซื้อโดยขอหักกลบลบหนี้กับจำเลยมีผลให้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้แต่ผู้เดียว ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้หักกลบลบหนี้ชอบแล้ว สำหรับเงินที่โจทก์วางศาลเป็นเงินมัดจำ50,000 บาท โจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระราคาที่เหลือ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจริบเงินมัดจำดังกล่าวได้ ส่วนเงินที่โจทก์ชำระในภายหลังอีก60,000 บาท นั้นมิใช่เงินมัดจำ โจทก์ชอบที่จะขอคืนจากศาลชั้นต้นการที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบ พิพากษายืน โจทก์ฎีกาขอให้โจทก์มีสิทธิหักหนี้รายนี้ได้ หรือสั่งคืนเงินที่โจทก์วางไว้ต่อศาล
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาขอให้ศาลสั่งคืนเงินที่โจทก์วางไว้ต่อศาลนั้น คดีนี้โจทก์วางเงินต่อศาล 110,000 บาท เป็นค่าซื้อทรัพย์ครั้งก่อน โจทก์แถลงขอรับคืนตามคำแถลงลงวันที่11 ตุลาคม 2531 แม้ในคำแถลงของโจทก์มิได้ระบุให้ชัดแจ้งว่าโจทก์ขอรับเงินจำนวนใด แต่เมื่อพิเคราะห์ใบมอบฉันทะให้รับเงินแทนประกอบกับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2531เกี่ยวกับเรื่องเงินว่า ให้ริบเงินมัดจำในการขายทอดตลาดครั้งก่อนจึงพอเข้าใจได้ว่าโจทก์ขอรับเงินที่วางไว้ในการซื้อทรัพย์ครั้งก่อนคืน ตามประกาศขายทอดตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดเงื่อนไขในการขายว่า เมื่อตกลงรับซื้อแล้วผู้ซื้อจะต้องชำระเงินทันที แต่ถ้าทรัพย์สินนั้นเป็นที่ดินหรือทรัพย์อย่างอื่นซึ่งมีราคาตั้งแต่ 10,000 บาท ขึ้นไป เจ้าพนักงานบังคับคดีอาจให้ผู้ซื้อวางเงินก่อนไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของราคาซื้อ และทำสัญญาใช้เงินที่ค้างชำระกับค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นถ้าหากมี ภายในเวลาไม่เกิน 15 วันก็ได้ และตามรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นเงินมัดจำ แสดงว่าเงินที่โจทก์วางไว้ในการซื้อทรัพย์ครั้งก่อนเป็นการชำระหนี้ส่วนหนึ่งของราคาค่าซื้อไม่ใช่มัดจำเมื่อโจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือ ศาลจึงสั่งริบไม่ได้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในการขายทอดตลาดครั้งหลังโจทก์เป็นผู้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น และเป็นผู้ซื้อทรัพย์ได้ในราคา 195,000 บาท เท่าเดิม ทั้งโจทก์ได้ชำระราคาครบถ้วนแล้วกรณีจึงไม่มีความเสียหายใด ๆ ชอบที่จะคืนเงินที่โจทก์วางไว้ในการซื้อทรัพย์ครั้งก่อนทั้งหมด ที่ศาลล่างทั้งสองให้ริบเงินจำนวน 50,000 บาท นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น แต่การที่ต้องมีการขายทอดตลาดครั้งหลังเพราะโจทก์ไม่ชำระราคาภายในเวลาที่กำหนด โจทก์จึงเป็นฝ่ายที่ทำให้ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมในกระบวนพิจารณาใด ๆ ที่ได้ดำเนินไปโดยไม่จำเป็น จึงต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมส่วนนี้”
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นคืนเงินจำนวน 110,000 บาทที่โจทก์วางไว้ในการซื้อทรัพย์ครั้งก่อนให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลและค่าฤชาธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการขายทอดตลาดครั้งหลังให้เป็นพับ

Share