แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญามีว่า ในกรณีที่จะให้มีผู้ค้ำประกันผู้ขายจะต้องวางหลักทรัพย์ของผู้ขาย ให้ผู้ซื้อยึดถือไว้ ฯลฯ นั้นข้อนี้ไม่ใช่เงื่อนไขถ้าผู้ขายมิได้วางประกันเมื่อไม่ปรากฏว่า เป็นกรณีที่จะต้องวางและผู้ซื้อก็คงให้ผู้ขายปฏิบัติตามสัญญา โดยมิได้วางประกันผู้ซื้อจะยกข้อนี้ขึ้นอ้างเพื่อไม่รับผิดตามสัญญาไม่ได้
สัญญามีว่า ผู้ขายต้องนำไม้มาวางไว้ริมน้ำ 1,000 ท่อนให้ผู้ซื้อตรวจรับผู้ขายนำไม้มาวางได้ 600 ท่อน ผู้ซื้อก็สั่งงด ไม่ซื้อผู้ซื้อผิดสัญญา โดยผู้ขายไม่ต้องนำไม้มาวางถึง 1,000 ท่อน
ผู้ซื้อผิดสัญญา ต้องใช้ค่าเสียหายให้ผู้ขายตามที่สัญญากำหนดไว้ให้ใช้ครึ่งหนึ่งของราคาไม้เท่าที่ผู้ขายได้นำมากองไว้ตามสัญญาแล้วแต่เงินทุนที่ผู้ซื้อลงไปเพื่อทำไม้ทั้งหมด และราคาไม้ในป่าถ้าไม่แน่นอนว่ามีอยู่เท่าใด ศาลไม่คิดค่าเสียหายให้
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2494 จำเลยได้ทำสัญญาซื้อไม้หมอนรถไฟจากโจทก์ 10,000 ท่อน ราคาท่อนละ 20 บาทเมื่อโจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์ได้รีบทำไม้หมอนในป่าอำเภอกบินทร์บุรีทันทีโดยทำเองบ้าง จ่ายเงินให้ผู้อื่นทำบ้างเมื่อทำไม้หมอนได้จำนวนตามสัญญาแล้ว โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบเพื่อให้ไปตรวจและตีตรา แต่จำเลยไม่ไปกลับแจ้งให้โจทก์ทราบว่ากระทรวงพาณิชย์ห้ามไม้ออกทุกชนิด ให้หยุดการทำไม้ รอฟังผลการเจรจากับรัฐบาลไว้ก่อน ต่อมาจำเลยโทรเลขบอกโจทก์ว่าการเจรจาเรียบร้อยแล้ว ให้เร่งทำไม้หมอนโดยด่วน โจทก์จึงได้เพิ่มทุน เพิ่มคนงานรวมโจทก์ลงทุนไป 20,000 บาท ต่อมาจำเลยโทรเลขให้โจทก์หยุดทำไม้หมอนเสียอีกโดยมิได้ให้เหตุผลประการใด โจทก์ได้ให้ทนายเจรจากับจำเลยเพื่อขอให้ปฏิบัติตามสัญญา หากจะเลิกสัญญาก็ให้ชดใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ลงทุนไป 20,000 บาท จำเลยยืนยันเลิกสัญญา แต่ไม่ยอมใช้ค่าเสียหาย จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินทุนที่โจทก์เสียไป 20,000 บาท กับเงินที่โจทก์ควรได้กำไรอีก 6,000 บาท ให้แก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้ว่า สัญญาที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อกัน จะใช้บังคับจำเลยไม่ได้ เพราะโจทก์ไม่ได้นำหลักทรัพย์หรือหาธนาคารมาค้ำประกันตามเงื่อนไขในสัญญาข้อ 5 และข้อ 11 จำเลยได้เตือนให้โจทก์ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาหลายครั้ง โจทก์ก็เพิกเฉยเสียจำเลยจึงได้โทรเลขบอกให้โจทก์หยุดทำไม้หมอนโดยเด็ดขาดอนึ่ง ตามข้อ 3 ของสัญญา โจทก์จะต้องนำไม้หมอนมารวมไว้เพื่อให้จำเลยตรวจคราวหนึ่งอย่างน้อย 1,000 ท่อน แต่ไม่เคยปรากฏว่าโจทก์บอกจำเลยว่ามีไม้หมอนพร้อมที่จะส่งมอบให้จำเลยตรวจรับได้จำเลยไม่เคยยืนยันจะเลิกสัญญา จำเลยพร้อมที่จะรับซื้อไม้หมอนตามคุณภาพและราคาในสัญญาทุกเมื่อ ถ้าหากโจทก์จะนำมาขาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ไม่ได้นำหลักทรัพย์มาวางตามสัญญา จึงยังมิได้ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามสัญญา ไม่มีสิทธิจะมาฟ้องร้องจำเลยได้ อนึ่ง ตามสัญญาข้อ 3 โจทก์จะต้องเอาไม้หมอนมากองไว้เพื่อตรวจและตีตราคราวหนึ่ง ๆ อย่างน้อย 1,000 ท่อน แต่ไม่ปรากฏว่า โจทก์ได้นำไม้มาวางถึง1,000 ท่อน เพื่อให้จำเลยขึ้นไปตรวจรับได้ จำเลยจึงมิใช่เป็นผู้ผิดสัญญา จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมกับค่าทนาย 600 บาท แทนจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เรื่องที่โจทก์จะต้องนำหลักทรัพย์มาวางไม่ใช่ข้อสำคัญ เพราะการกระทำของจำเลยส่อให้เห็นว่า จำเลยสละสิทธิที่จะเรียกร้องให้โจทก์วางหลักทรัพย์แล้ว จะถือว่า โจทก์ผิดสัญญาไม่ได้ การที่โจทก์มีไม้ไว้เพียง 600 ท่อน ก็เพราะจำเลยโทรเลขบอกไม่ให้โจทก์ตัดไม้เด็ดขาด เป็นการปฏิเสธมิให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาโจทก์จึงไม่จำเป็นต้องนำไม้มาให้ครบ 1,000 ท่อน จำเลยมีเจตนาไม่ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว สิทธิฟ้องร้องของโจทก์เกิดขึ้นทันที จึงพิพากษากลับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 25,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้จำเลยเสียค่าธรรมเนียมกับค่าทนาย 1,300 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาได้ฟังคำแถลงการณ์ของทนายโจทก์ และได้ประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว ทางพิจารณาได้ความว่า เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2494โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายไม้หมอนรถไฟต่อกัน โดยโจทก์เป็นผู้ขาย จำเลยเป็นผู้ซื้อ จำนวนไม้หมอนที่ตกลงกัน 10,000 ท่อนราคาท่อนละ 20 บาท ในสัญญามีข้อความตอนหนึ่งว่า “ผู้ขายรับรองว่าในกรณีที่จะให้มีผู้ค้ำประกันสัญญานั้น จะต้องวางหลักทรัพย์ของผู้ขายในราคา 100,000 บาท ให้ผู้ซื้อมายึดถือไว้หากมีกรณีผิดสัญญากระทำให้ผู้ซื้อเกิดการเสียหาย หลักทรัพย์ราคา 100,000 บาท ผู้ซื้อเรียกร้องได้ทันทีโดยไม่ต้องฟ้องร้องผู้ขายให้รับผิดเสียก่อน” และอีกตอนหนึ่งว่า”เมื่อได้รับหลักฐานจากผู้ขายในเรื่องธนาคารค้ำประกันตามข้อ 11 แล้วผู้ซื้อจะได้สั่งโอนเงินค่าไม้ทั้งหมดเข้าธนาคารแห่งเดียว หรือไม่เกินสองแห่งในนามของผู้ขายภายในกำหนด 3 วัน โดยผู้ซื้อไม่ถอนเงินคืนจากธนาคารก่อนครบกำหนดในสัญญา เงินจำนวนนี้จะวางไว้เพื่อชำระราคาค่าไม้หมอนที่ผู้ขายจะนำส่งผู้ซื้อเท่านั้น” แต่เมื่อทำสัญญาแล้วทั้งโจทก์และจำเลยหาได้วางเงินหรือหลักทรัพย์ตามที่กล่าวมานี้ไม่ โจทก์คงกลับไปจัดการวางคนออกไปทำไม้ที่อำเภอกบินทรบุรีเป็นสาย ๆ แต่พอถึงวันที่ 24 เดือนเดียวกันจำเลยโทรเลขไปยังโจทก์ว่า “กระทรวงพาณิชย์ห้ามไม้ออกทุกชนิด ให้ท่านหยุดการทำไม้หมอนด่วน และรอผลการเจรจาของบริษัทกับรัฐบาลก่อนดำเนินงานต่อไป” ครั้นวันที่ 31 เดือนนั้น จำเลยโทรเลขถึงโจทก์ว่า “ผลของการเจรจาเรียบร้อยแล้ว ขอให้เร่งทำไม้ต่อไปโดยด่วนเพราะเรือจะมารับเที่ยวแรก 15 สิงหาคมนี้” แต่ต่อมาจำเลยกลับโทรเลขถึงโจทก์อีกว่า “หยุดการทำไม้หมอนทั้งหมดเด็ดขาดแล้วโปรดลงมาพบเพื่อหารือ” โจทก์กลับโทรเลขมายังจำเลยว่า”ไม้ผลิตได้มากแล้ว ขอให้ส่งคนไปตรวจด่วน” แต่บริษัทจำเลยไม่ส่งคนไปตรวจ โจทก์จึงมอบเรื่องให้ทนายไปเจรจากับจำเลย ขอให้จำเลยชดใช้ทุนที่โจทก์ออกไป 20,000 บาท กับกำไรที่ควรจะได้อีก 6,000 บาท แต่ไม่เป็นที่ตกลงกัน โจทก์จึงฟ้องเป็นคดีนี้
ปัญหาว่า การที่โจทก์ไม่วางหลักทรัพย์ค้ำประกันนั้น จะทำให้สัญญานี้ยังใช้บังคับไม่ได้ดังที่จำเลยต่อสู้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่กำหนดไว้นั้นไม่ใช่เงื่อนไขบังคับก่อน เพราะผู้ขายรับรองไว้แต่ว่า ในกรณีที่จะให้มีผู้ค้ำประกันสัญญานั้นจะต้องวางหลักทรัพย์ของผู้ขายราคา 100,000 บาท ให้ผู้ซื้อยึดถือไว้เท่านั้น คือจะต้องวางหลักทรัพย์ในเมื่อมีกรณีที่จะให้มีผู้ค้ำประกัน ซึ่งในคดีนี้ไม่ปรากฏว่า มีกรณีที่จะให้มีผู้ค้ำประกันอย่างใดไม่ อีกประการหนึ่งแม้ทั้งที่โจทก์มิได้วางหลักทรัพย์ตามที่กล่าวในสัญญา จำเลยก็ยังคงติดต่อโทรเลขให้โจทก์ทำไม้ต่อไปทั้งนี้จึงเห็นได้ว่า ข้อที่กำหนดให้วางหลักทรัพย์มิใช่ข้อที่จะทำให้สัญญาสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ ข้อแก้ตัวของจำเลยจึงฟังไม่ได้
ปัญหาต่อไปว่า จำเลยผิดสัญญาหรือไม่ ข้อนี้เห็นว่า เมื่อจำเลยสั่งให้โจทก์หยุดทำไม้หมอนโดยเด็ดขาดแล้ว จำเลยก็เป็นผู้กระทำผิดสัญญา โจทก์ไม่จำต้องทำไม้หมอนและนำมากอง เพื่อให้จำเลยตรวจรับจนครบ 1,000 ท่อน
ปัญหาสุดท้ายจึงเหลืออยู่เพียงว่า จำเลยจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เท่าใด ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาข้อ 6 มีปรากฏว่าถ้าผู้ซื้อไม่ยอมรับซื้อไม้ซึ่งผู้ขายได้จัดทำโดยถูกต้องตามสัญญาแล้ว ผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ขาย 50 เปอร์เซ็นต์ของราคาไม้ตามสัญญา ฉะนั้นจำเลยก็ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงินท่อนละ 10 บาท ปรากฏว่า โจทก์ทำไม้เสร็จเอามากองไว้ริมน้ำ 600 ท่อนแล้ว โจทก์ก็ควรได้ค่าเสียหาย 6,000 บาท ส่วนที่ว่าไม้ยังมีอยู่ในป่าอีกนั้นเป็นการไม่แน่ว่าจะมีจริงหรือไม่จึงไม่คิดให้ อนึ่ง ที่โจทก์เรียกเงินค่าที่ลงทุนไปอีก 20,000 บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เงินที่ลงทุนไปไม่ใช่ค่าเสียหายเพราะการลงทุนก็เพื่อให้ได้ไม้หมอนมาขายจำเลย ไม้หมอนยังคงอยู่ที่โจทก์ข้อเท็จจริงยังไม่ได้ความว่า โจทก์ต้องเสียหายจากการที่ขายไม้ไม่ได้เท่าใด
เหตุนี้จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 6,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าทนายชั้นฎีกาแทนโจทก์อีก 300 บาท