แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สิทธิในการจำหน่ายทรัพย์ย่อมตกอยู่แก่ผู้เป็นเจ้าของเท่านั้น แลเจ้าของย่อมมีสิทธิติดตามและเอาคืนทรัพย์สินของตนจากบุคคลไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ด้วยบุคคลที่ซื้อทรัพย์ซึ่งมีผู้ + แล้วเอามาขายให้ด้วยความสุจริต จำต้อง+ใช้ราคาทรัพย์นั้นแก่ของเว้นแต่จะเข้ามาตรา 1332 ที่ร่วมกันทำละเมิดจำรับผิดใช้ค่าเสียหายเช่น + ลูกหนี้ร่วมกัน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย+กฎหมายที่ไม่เป็นประเด็น+ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
ย่อยาว
ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ได้ไปซื้อน้ำมันจากบริษัท อ. ๆได้ออกใบขนน้ำมันให้โจทก์ ๕ ฉะบับ โจทก์ได้มอบใบขน ๕ ฉะบับให้ ป.เพื่อจะได้ทำการขนน้ำมัน ป.กลับนำเอาไปขนทั้ง ๕ ฉะบับนั้นไปขายให้จำเลย จำเลยรับซื้อไว้โดยชื่อเชื่อว่า ป.เป็นผู้มีอำนาจขายได้ แล ป.ได้ไปขนน้ำมันที่โจทก์ได้ซื้อไว้มาให้จำเลยเสร็จแล้ว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษ ป.ฐานยักยอกแลให้ใช้ทรัพย์ แลยกข้อหาทางอาญาสำหรับจำเลยนี้เสีย ส่วนข้อเสียหายในทางแพ่ง ศาลชั้นต้นตัดสินว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดร่วมกับ ป. ศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าจำเลยต้องรับผิดร่วมกับ ป.ด้วยจึงให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
ศาลฎีกาตัดสินว่าโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกทรัพย์หรือราคาทรัพย์ของตนคืนจากจำเลยได้ตามมาตรา ๑๓๓๖ เพราะ ป.เอาทรัพย์ของโจทก์ไปขายให้จำเลยโดยปราศจากอำนาจตามกฎหมาย จำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ รูปคดีไม่เข้า ม.๑๓๓๒ ซึ่งเป็นเรื่องการซื้อขายทรัพย์ในการขายทอดตลาดหรือในท้องตลาดหรือจากพ่อค้าซื้อขายของชนิดนั้นโดยฉะเพาะ และเมื่อจำเลยกับป.เป็นผู้ร่วมกันก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์แล้ว จำเลยกับ ป.ก็ต้องร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตาม ม.๔๓๒ และ ๒๙๑ ด้วย พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์