แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาข้อกฎหมายว่าคดีเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 7 หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวแม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในคดีนี้ในศาลชั้นต้น แต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยมีอำนาจยกขึ้นฎีกาได้
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้ว จำเลยยื่นฎีกาพร้อมแนบสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีแพ่งของศาลชั้นต้นที่รับรองถูกต้องมาด้วย โจทก์ได้รับสำเนาฎีกาและยื่นคำแก้ฎีการับว่า โจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยจริง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่จำเลยฎีกา
มูลหนี้ตามที่จำเลยออกเช็คคดีนี้ โจทก์ได้นำไปฟ้องจำเลยให้ชดใช้เงินเป็นคดีแพ่ง แล้วโจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว ในสัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่า “จำเลยยอมชำระหนี้ให้กับโจทก์เป็นจำนวนเงินจำนวนหนึ่งแก่โจทก์โดยจะชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้ ซึ่งการตกลงประนีประนอมยอมความนี้ โจทก์และจำเลยไม่ถือว่าได้ตกลงยอมความในคดีอาญาหากจำเลยไม่ชำระหนี้ตามสัญญานี้ โจทก์ยังคงประสงค์ที่จะดำเนินคดีอาญากับจำเลยจนถึงที่สุด และยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีอันแสดงว่าโจทก์จำเลยยังมิได้มีเจตนาจะยุติข้อพิพาทในทางอาญาจนกว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามสัญญาแก่โจทก์แล้ว แม้จะไม่เป็นการยอมความกันในคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(2) ก็ตาม แต่การที่โจทก์นำมูลหนี้ตามเช็ครวมทั้งเช็คที่ออกชำระหนี้ดังกล่าวไปฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง และได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความจนศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว ผลการประนอมยอมความดังกล่าวย่อมทำให้การเรียกร้องที่แต่ละฝ่ายสละนั้นระงับสิ้นไป และแต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญานั้นว่าเป็นของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 แม้จำเลยจะไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในมูลหนี้ดังกล่าวได้อีก ถือว่าหนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินระงับสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39
(วรรคสามวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2543)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(3)การกระทำของจำเลยเป็นความผิดรวม 6 กระทง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดตามเช็คเอกสารหมายจ.3 จ.5 จ.7 จ.9 และ จ.11 จำคุกกระทงละ 1 เดือน รวมจำคุก 5 เดือน ความผิดตามเช็คเอกสารหมาย จ.13 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 11 เดือนลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก7 เดือน 10 วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้แล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นให้จำเลยชดใช้เงินตามเช็คพิพาทในที่สุดโจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 นั้น แม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในคดีนี้ในศาลชั้นต้น แต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยมีอำนาจยกขึ้นฎีกาได้ ข้อเท็จจริงปรากฏตามสำนวนว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแล้ว จำเลยยื่นฎีกาพร้อมแนบสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 21/2540 และ 629/2540 ของศาลชั้นต้นที่รับรองถูกต้องมาด้วย โจทก์ได้รับสำเนาฎีกาและยื่นคำแก้ฎีการับว่าโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 21/2540 และ 629/2540 ที่ศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า มูลหนี้ตามที่จำเลยออกเช็คคดีนี้โจทก์ได้นำไปฟ้องจำเลยให้ชดใช้เงินตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 21/2540 และ 629/2540 ของศาลชั้นต้น แล้วโจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1176/2540 และ1294/2540 ซึ่งในสัญญาประนีประนอมยอมความทั้งสองคดีดังกล่าวข้อ 1 ระบุว่า “จำเลยยอมชำระหนี้ให้กับโจทก์เป็นจำนวนเงิน 2,516,284บาท และ 458,808 บาท ตามลำดับ โดยจะชำระให้เสร็จสิ้นภายใน30 วัน นับแต่วันที่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้ซึ่งการตกลงประนีประนอมยอมความนี้ โจทก์และจำเลยไม่ถือว่าได้ตกลงยอมความในคดีอาญา หากจำเลยไม่ชำระหนี้ตามสัญญานี้โจทก์ยังคงประสงค์ที่จะดำเนินคดีอาญากับจำเลยจนถึงที่สุด” ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระบุไว้ชัดเจนว่า การทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวไม่ถือว่าได้ตกลงยอมความในคดีอาญาเพียงแต่โจทก์ยอมผ่อนให้เวลาแก่จำเลยเพื่อให้จำเลยหาเงินมาชำระหนี้ตามเช็คภายใน 30 วัน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากจำเลยไม่ชำระหนี้ตามสัญญาโจทก์ยังคงประสงค์ที่จะดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยจนถึงที่สุด และยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที อันแสดงว่าโจทก์จำเลยยังมิได้มีเจตนาจะยุติข้อพิพาทในทางอาญาจนกว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามสัญญาแก่โจทก์แล้ว แม้จะไม่เป็นการยอมความกันในคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ก็ตาม แต่การที่โจทก์นำมูลหนี้ค่าลูกไก่ ค่าไก่สาวและค่าอาหารสำเร็จรูปสำหรับเลี้ยงสัตว์รวมทั้งเช็คที่ออกชำระหนี้ดังกล่าวไปฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง และได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จนศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว ผลการประนอมยอมความดังกล่าวย่อมทำให้การเรียกร้องที่แต่ละฝ่ายสละนั้นระงับสิ้นไป และแต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญานั้นว่าเป็นของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 แม้จำเลยจะไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในมูลหนี้ดังกล่าวได้อีก ถือว่าหนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินระงับสิ้นผลผูกพันไปก่อน ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดคดีจึงเป็นอันเลิกกันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39เมื่อสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปแล้ว จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ