แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โดยปกติศาลเป็นผู้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาใช้บังคับแก่คดีจึงมีอำนาจหน้าที่พิจารณาว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดจะใช้บังคับแก่คดีได้หรือไม่เพียงใด เว้นแต่จะมีบทกฎหมายใดบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสถาบันอื่นโดยเฉพาะฉะนั้น เมื่อมีประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 3 ยกเลิกรัฐธรรมนูญที่มีบทบัญญัติให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดบทกฎหมายใดว่าจะแย้งหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่เสียแล้ว อำนาจหน้าที่ชี้ขาดนี้จึงตกอยู่ที่ศาลยุติธรรมดังเดิม
ในการพิจารณาว่าบทกฎหมายใดมีผลบังคับใช้ได้หรือไม่เพียงใดนั้นเป็นการพิจารณาถึงบทกฎหมายนั้นเมื่อขณะประกาศออกใช้บังคับหาใช่เฉพาะแต่เวลาที่จะยกขึ้นใช้บังคับแก่คดีหนึ่งคดีใดไม่เพราะถ้าบทกฎหมายใดใช้บังคับมิได้แล้ว ก็ย่อมจะใช้บังคับมิได้มาแต่เริ่มแรกหาใช่เพิ่งจะมาใช้บังคับมิได้เอาเมื่อจะยกขึ้นบังคับแก่คดีใดโดยเฉพาะไม่ฉะนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่ามาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติเวนคืนฯ พ.ศ.2496 ชัดแจ้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 29. ไม่มีผลบังคับตามรัฐธรรมนูญมาตรา 113จึงกระทำได้โดยชอบหาใช้เป็นการที่ศาลเองจะมากำหนดให้รัฐธรรมนูญ มาตรา 29 ใช้บังคับได้อยู่อันเป็นการขัดแย้งกับประกาศคณะปฏิวัติไม่ข้อกฎหมายเกี่ยวกับบทกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่มีความสำคัญมากยิ่งนัก และเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนโดยตรง แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างก็สมควรที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัย
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 33-34/2504)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2497 ได้มีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลคลองตัน พ.ศ. 2496 เวนคืนที่ดินของโจทก์โฉนดที่ 5974 ไปส่วนหนึ่งเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 6 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนเสนอให้ราคาที่ดินแก่โจทก์ตารางวาละ 20 บาท ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติเวนคืนฯ ส่วนโจทก์เรียกร้องตารางวาละ450 บาท จึงไม่อาจตกลงกันได้ทั้งสองฝ่ายตกลงตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้นชี้ขาดเงินค่าทดแทนตาม มาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติเวนคืนฯอนุญาโตตุลาการฝ่ายจำเลยกำหนดให้ตารางวาละ 20 บาท ฝ่ายโจทก์ให้390 บาท ไม่อาจปรองดองกันได้ จึงตั้งประธานอนุญาโตตุลาการขึ้นชี้ขาดอีก ประธานอนุญาโตตุลาการชี้ขาดกำหนดค่าทดแทนในตารางวาละ 390 บาท โจทก์จำเลยทราบคำชี้ขาดแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามจึงขอให้ศาลพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ลงวันที่ 9 มกราคม 2501 ให้จำเลยทั้งสองใช้เงินค่าทดแทนและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามพระราชบัญญัติเวนคืนฯ พ.ศ. 2497 มาตรา 30 ด้วย
จำเลยให้การว่า คำชี้ขาดของประธานอนุญาโตตุลาการขัดต่อกฎหมายพระราชบัญญัติเวนคืนฉบับนี้ มาตรา 5 กำหนดค่าทำขวัญ คือค่าทดแทนไว้เป็นพิเศษเฉพาะแล้ว การที่จำเลยเสนอราคาให้ตารางวาละ 20 บาท จึงเป็นธรรมตามกฎหมายแล้ว จำเลยไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเพราะกรณีไม่เข้าลักษณะความในมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติเวนคืน
ศาลชั้นต้นสอบโจทก์จำเลยแล้ว เห็นว่าคดีไม่จำต้องสืบพยาน ให้งดเสีย แล้วพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 แต่อย่างใดไม่ ส่วนจำเลยที่ 1 ให้รับผิดใช้เงินทดแทนแก่โจทก์ ตารางวาละ 390 บาท ตามคำชี้ขาดของประธานอนุญาโตตุลาการกับให้จำเลยที่ 1 เสียดอกเบี้ยแก่โจทก์ด้วย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาคดีนี้ในที่ประชุมใหญ่แล้ว เห็นว่าโดยหลักกฎหมายทั่วไปและหลักการพิจารณาพิพากษาคดี ศาลเป็นผู้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาใช้บังคับแก่คดี ศาลจึงเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายฉบับหนึ่งฉบับใดหรือบทหนึ่งบทใดจะใช้บังคับแก่คดีได้หรือไม่เพียงใดเว้นแต่จะมีบทกฎหมายใดโดยเฉพาะบัญญัติให้อำนาจหน้าที่นี้ตกอยู่แก่สถาบันอื่นในเรื่องหนึ่งเรื่องใดโดยเฉพาะในระหว่างการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 ให้ศาลส่งความเห็นของศาลที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายมีข้อความแย้งหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญไปให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ต่อมาก่อนที่ศาลจะได้พิพากษาคดีนี้ ได้มีประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 3ยกเลิกรัฐธรรมนูญดังกล่าว ฉะนั้น ในขณะที่ศาลจะพิพากษาคดีนี้ จึงไม่มีบทบัญญัติของบทกฎหมายใดที่ให้อำนาจหน้าที่ตกอยู่แก่สถาบันอื่นอำนาจหน้าที่นี้จึงตกอยู่ที่ศาลยุติธรรมดังเดิม เหตุนี้ ศาลฎีกาจึงเห็นว่าในขณะนี้ ศาลยุติธรรมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดบทกฎหมายใดมีข้อความแย้งหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และใช้บังคับได้หรือไม่เพียงใด
ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า รัฐธรรมนูญฯ มาตรา 29 (รัฐย่อมเคารพต่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของเอกชนฯ) ก็ได้ถูกยกเลิกไปพร้อมกับมาตรา 114จึงต้องสิ้นผลบังคับไปดุจกันนั้น เห็นว่า การพิจารณาว่าบทกฎหมายใดมีผลบังคับใช้ได้หรือไม่เพียงใดนั้น เป็นการพิจารณาถึงบทกฎหมายนั้นเมื่อขณะประกาศออกใช้บังคับ หาใช่เฉพาะแต่เวลาที่จะยกขึ้นใช้บังคับแก่คดีหนึ่งคดีใดไม่ เพราะถ้าบทกฎหมายใดใช้บังคับมิได้แล้ว ก็ย่อมจะใช้บังคับมิได้มาแต่เริ่มแรก หาใช่เพิ่งจะมาใช้บังคับมิได้เอาเมื่อจะยกขึ้นบังคับแก่คดีใดโดยเฉพาะไม่ คดีนี้ พระราชบัญญัติเวนคืนฯ พ.ศ. 2496 มาตรา 5 บัญญัติให้ค่าทดแทนที่ดินตารางวาละ 20 บาทนั้น ได้ประกาศใช้บังคับในขณะที่มาตรา 29 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 มีผลใช้บังคับอยู่ และในขณะเดียวกันนี้มาตรา 113 แห่งรัฐธรรมนูญซึ่งบัญญัติว่า”บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีข้อความแย้งหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้” ก็มีผลใช้บังคับอยู่ ฉะนั้น การที่ศาลวินิจฉัยว่ามาตรา 5แห่งพระราชบัญญัติเวนคืนฯ พ.ศ. 2496 ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 29ไม่มีผลบังคับตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 113 จึงกระทำได้โดยชอบและหาใช่เป็นการที่ศาลเองจะมากำหนดให้รัฐธรรมนูญฯ มาตรา 29 ใช้บังคับได้อยู่ อันเป็นการขัดแย้งกับประกาศคณะปฏิวัติดังจำเลยฎีกาไม่ อนึ่ง การที่ศาลวินิจฉัยเช่นนี้ ก็หาใช่เป็นการที่ศาลไปยกเอากฎหมายที่ยกเลิกไปแล้วมาเป็นหลักในการพิจารณาพิพากษาคดีดังจำเลยฎีกาไม่ หากแต่ศาลวินิจฉัยว่า บทกฎหมายที่จำเลยขอให้ยกขึ้นปรับแก่คดีในเวลานี้นั้น เป็นบทกฎหมายที่ไม่มีผลบังคับมาตั้งแต่เริ่มประกาศใช้แล้ว จึงยกขึ้นปรับแก่คดีนี้มิได้เท่านั้น
สำหรับข้อที่ว่า ศาลมีอำนาจวินิจฉัยประเด็นนี้หรือไม่ เพราะคู่ความมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างหรือโต้เถียงขึ้นมานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อกฎหมายนี้มีความสำคัญมากยิ่งนัก และเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนโดยตรง แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างก็สมควรแล้วที่ศาลยกขึ้นวินิจฉัย ฯลฯ
พิพากษายืน