คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7653/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (6) ที่บัญญัติให้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด หมายถึง มาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเป็นความผิดฐานหรือบทใด ส่วนมาตรา 90 แห่ง ป.อ. มิใช่มาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่า การกระทำเป็นความผิดฐานหรือบทใด แต่บัญญัติว่าความผิดนั้นเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทและต้องลงโทษตามความผิดฐานหรือบทใด แม้โจทก์จะมิได้อ้างมาตรา 90 แห่ง ป.อ. มาในฟ้อง ก็ไม่ทำให้ฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ที่เกิดเหตุเป็นถนนเปียกและลื่น จำเลยขับรถยนต์ซึ่งมีสภาพเก่าบรรทุกสัมภาระและคนมาเต็มคันรถยนต์ ควรจะขับรถยนต์ให้ช้าไม่ควรขับด้วยความเร็ว เพราะหากขับรถยนต์ด้วยความเร็วในสภาพของรถยนต์และถนนดังกล่าวรถยนต์อาจเสียหลักและพลิกคว่ำได้โดยง่าย แต่เมื่อถึงที่เกิดเหตุจำเลยกลับขับรถยนต์ด้วยความเร็ว จึงเป็นความประมาทในเบื้องต้นของจำเลยแล้ว เมื่อจำเลยเห็นรถยนต์อยู่ข้างหน้าซึ่งจำเลยจะต้องแซงรถจักรยานยนต์นั้น จำเลยจะต้องให้สัญญาณเสียงเพื่อให้ผู้ขับรถจักรยานยนต์รู้ตัว หรือมิฉะนั้นก็ควรจะชะลอความเร็วรถยนต์ลงเพื่อให้ห่างจากรถจักรยานยนต์ในระยะที่ปลอดภัย แต่จำเลยก็หาได้กระทำดังกล่าวไม่ทั้งที่อยู่ในวิสัยที่ทำได้ เมื่อรถจักรยานยนต์เลี้ยวไปทางขวาโดยกะทันหันจำเลยจึงไม่อาจห้ามล้อเพื่อชะลอความเร็วของรถยนต์ได้ทัน และจำต้องบังคับรถยนต์หลบไปทางขวาแล้วหลบกลับมาทางซ้ายอีก จนเป็นเหตุให้รถยนต์เสียหลักพลิกคว่ำ อุบัติเหตุดังกล่าวจึงเกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลย ไม่เป็นเหตุสุดวิสัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 157
จำเลยให้การปฏเสธ
ระหว่างพิจารณา นางจีบ กงแก้ว และนางหล่ำ แก้วอาสา ผู้เป็นภริยาของนายสมจีน กงแก้ว และนายเถิง แก้วอาสา ผู้ตาย ตามลำดับ ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาขับรถยนต์ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยเรียกนางจีบและนางหล่ำว่าโจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ ต่อมาโจทก์ร่วมที่ 2 ถึงแก่ความตาย นายทวี แก้วอาสา ผู้เป็นบุตรของนายเถิงและโจทก์ร่วมที่ 2 ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตาย ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (ที่ถูก มาตรา 43 (4)), 157 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า “ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยขับรถยนต์บรรทุกสัมภาระและผู้โดยสารรวมทั้งจำเลยด้วยเป็น 24 คน เมื่อถึงที่เกิดเหตุรถจักรยานยนต์ที่อยู่ข้างหน้าได้เลี้ยวไปทางขวา จำเลยบังคับรถยนต์หลบไปทางขวาแล้วหลบกลับมาทางซ้ายอีกโดยกะทันหันเป็นเหตุให้รถยนต์พลิกคว่ำ นายสมจีน กงแก้วและนายเถิง แก้วอาสา ซึ่งโดยสารมาในรถยนต์บรรทุกถึงแก่ความตาย ส่วนผู้โดยสารคนอื่นรวม 13 คน ได้รับอันตรายและอันตรายสาหัส คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ไม่ได้อ้างมาตรา 90 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเป็นฟ้องไม่ชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (6) ที่บัญญัติให้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเป็นความผิดนั้น หมายถึง มาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเป็นความผิดฐานหรือบทใด มาตรา 90 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มิใช่มาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเป็นความผิดฐานหรือบทใด แต่บัญญัติว่าความผิดนั้นเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทและต้องลงโทษตามความผิดฐานหรือบทใดเท่านั้น แม้โจทก์จะมิได้อ้างมาตรา 90 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาในฟ้อง ก็ไม่ทำให้ฟ้องไม่ชอบ
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยประมาทหรือเป็นเหตุสุดวิสัย ปัญหาข้อนี้จำเลยได้อุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้วินิจฉัยให้ เห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัย ข้อเท็จจริงได้ความจากพยานโจทก์ว่าขณะเกิดเหตุถนนเปียกและลื่น จำเลยขับรถยนต์ซึ่งมีสภาพเก่าบรรทุกสัมภาระและผู้โดยสารรวมทั้งจำเลยด้วยเป็น 24 คน เต็มคันรถยนต์และแล่นเร็ว จำเลยเห็นรถจักรยานยนต์แล่นอยู่ข้างหน้าก่อนที่รถจักรยานยนต์จะเลี้ยวไปทางขวาโดยจำเลยมิได้ให้สัญญาณเสียงแตรหรือชะลอความเร็วรถลง เห็นว่า ที่เกิดเหตุเป็นถนนเปียกและลื่น จำเลยขับรถยนต์ซึ่งมีสภาพเก่าบรรทุกสัมภาระและคนมาเต็มคันรถยนต์ ควรจะขับรถยนต์ให้ช้าไม่ควรขับด้วยความเร็วเพราะหากขับรถยนต์ด้วยความเร็วในสภาพของรถยนต์และถนนดังกล่าว รถยนต์อาจเสียหลักและพลิกคว่ำได้โดยง่าย แต่เมื่อถึงที่เกิดเหตุจำเลยกลับขับรถยนต์ด้วยความเร็วจึงเป็นความประมาทในเบื้องต้นของจำเลยแล้ว เมื่อจำเลยเห็นรถจักรยานยนต์อยู่ข้างหน้าซึ่งจำเลยจะต้องแซงรถจักรยานยนต์นั้น จำเลยจะต้องให้สัญญาณเสียงเพื่อให้ผู้ขับรถจักรยานยนต์รู้ตัว หรือมิฉะนั้นก็ควรจะชะลอความเร็วรถยนต์ลงเพื่อให้ห่างจากรถจักรยานยนต์ในระยะที่ปลอดภัย แต่จำเลยก็หาได้กระทำดังกล่าวไม่ทั้งที่อยู่ในวิสัยที่ทำได้ เมื่อรถจักรยานยนต์เลี้ยวไปทางขวาโดยกะทันหันจำเลยจึงไม่อาจห้ามล้อหรือชะลอความเร็วของรถยนต์ได้ทัน และจำต้องบังคับรถยนต์หลบไปทางขวาแล้วหลบกลับมาทางซ้ายอีกจนเป็นเหตุให้รถยนต์เสียหลักพลิกคว่ำ อุบัติเหตุดังกล่าวจึงเกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลย ไม่เป็นเหตุสุดวิสัย
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า สมควรลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้หรือไม่ เห็นว่า การกระทำโดยประมาทของจำเลยเป็นเหตุให้คนตายถึง 2 คน และมีผู้ได้รับอันตรายแก่กายและอันตรายสาหัสอีกรวม 13 คน แม้จำเลยจะช่วยเหลือนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลแต่จำเลยก็มิได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ครอบครัวของผู้ตายแต่อย่างใด อันจะเป็นการบรรเทาผลร้ายแห่งการกระทำความผิดของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วางโทษจำคุกเพียง 2 ปี แล้วลดโทษให้หนึ่งในสามเป็นจำคุก 1 ปี 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษจำคุกให้นั้น จึงเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว ไม่มีเหตุอันสมควรที่ศาลฎีกาจะลงโทษจำเลยให้เบากว่านี้หรือรอการลงโทษจำคุก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share