แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์ตามฟ้องคืนจากจำเลยโดยอ้างว่าเป็นมรดกที่ได้รับจากผู้ตาย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินดังกล่าว จำเลยจึงไม่ใช่บุคคลผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเคยเป็นภริยาขของนายนนท์ วรรักษา แต่ได้จดทะเบียนหย่าและแบ่งทรัพย์สินกันแล้วเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2525โจทก์กับนายนนท์เป็นสามีภริยากันโดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่1 มีนาคม 2526 อยู่กินด้วยกันที่บ้านเลขที่ 409/1 หมู่ 1 ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี จนกระทั่งนายนนท์ถึงแก่กรรม ก่อนถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2527 นายนนท์ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้โจทก์ รวมราคาทรัพย์ทั้งหมดประมาณ1,134,050 บาท หลังจากนายนนท์ถึงแก่กรรม จำเลยกับพวกขับไล่โจทก์ออกจากบ้านเลขที่ 409/1 โดยไม่ชอบ แล้วเข้ายึดครองบ้านและทรัพย์สินแล้วยักย้ายทรัพย์สินบางส่วนไป โจทก์ทวงถามเรียกคืนจากจำเลย จำเลยไม่ยอมส่งมอบให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบบ้าน 3 หลัง และทรัพย์สิน เครื่องใช้ต่าง ๆ ตามฟ้องให้โจทก์ ถ้าจำเลยไม่อาจส่งมอบทรัพย์ดังกล่าวแก่โจทก์ได้ให้ชำระราคาทรัพย์แทน
จำเลยให้การว่า พินัยกรรมตามฟ้องเกิดจากโจทก์กับพวกสมคบกันทำขึ้นด้วยกลฉ้อฉล และลายพิมพ์มือในพินัยกรรมไม่ใช่ลายพิมพ์มือของนายนนท์ พินัยกรรมตกเป็นโมฆะ บ้าน 3 หลัง นายนนท์ได้จดทะเบียนยกให้นางจันทรา เจณณวาสิน บุตรสาวไปพร้อมที่ดินแล้ว ส่วนทรัพย์สินอื่น ๆ นั้นไม่ใช่มรดก นายนนท์ไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกให้โจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า ทรัพย์สินอันเป็นเครื่องใช้ประจำบ้าน พระทองคำ 5 องค์พระแก้ว 2 องค์ และงาช้าง 1 คู่ อยู่ในความครอบครองของจำเลยหรือไม่สำหรับบ้านเลขที่ 409/1 และที่ดินตามโฉนดเลขที่ 435 และที่ 436โจทก์มิได้ฎีกาจึงไม่มีประเด็นให้วินิจฉัย ในส่วนที่เกี่ยวกับรายการทรัพย์สินอันเป็นเครื่องใช้ประจำบ้านนั้น โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันฟังได้ว่าก่อนที่นายนนท์ถึงแก่กรรมและโจทก์ย้ายออกจากบ้านเลขที่409/1 ทรัพย์สินดังกล่าวยังคงอยู่ในบ้านหลังนั้น นอกจากนี้ไม่ได้ความจากโจทก์และพยานโจทก์ว่ามีผู้ใดขนย้ายทรัพย์สินประจำบ้านตามฟ้องไปไว้ที่ใด และได้ความจากคำเบิกความของจำเลย นางจันทราเจณณวาสิน และนางทุเรียน วิสุทธาธรรม พยานจำเลยว่า มิได้นำเคลื่อนย้ายไปไหน ยังคงเก็บรักษาไว้ที่บ้านเลขที่ 409/1 โดยให้มูลนิธิบำบัดรักษายาเสพติดให้โทษของรัฐบาลสวีเดนใช้สถานที่ดังกล่าว จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าทรัพย์สินเครื่องใช้ประจำอยู่ที่บ้านเลขที่409/1 ซึ่งนางจันทราเป็นผู้ครอบครอง จำเลยหาได้ครอบครองไว้แต่อย่างใดไม่ สำหรับพระทองคำและพระแก้วนั้น โจทก์เบิกความว่าทราบจากนางวิกรณ์ เขียวอ่อน ซึ่งเป็นลูกจ้างของนายนนท์ในขณะนั้นว่า จำเลยได้ไปไขกุญแจห้องพระแล้วนำไปเก็บรักษาไว้ที่บ้านของจำเลยที่ถนนสุทธิสาร แต่นางวิกรณ์ พยานโจทก์กลับเบิกความว่าหลังจากจำเลยหย่ากับนายนนท์แล้ว ไม่เคยเห็นจำเลยไปที่บ้านเลขที่ 409/1 อีกเลย จึงขัดแย้งกับโจทก์ ทั้งโจทก์ก็ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าเห็นจำเลยครอบครองพระทองคำและพระแก้วไว้ที่ไหน อย่างไร จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้เช่นกันว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองเก็บรักษาไว้ ส่วนงาช้าง1 คู่ ที่โจทก์เรียกคืนจากจำเลยก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์เห็นจำเลยนำไปคงมีแต่นายบุญศรี รังษี พยานโจทก์ซึ่งเป็นคนขับรถให้นายนนท์เบิกความว่าเห็นงาช้างอยู่ที่บ้านจำเลย แต่นายบุญศรีก็ไม่ทราบว่าเป็นงาช้างของใครและไม่เคยเห็นงาช้างของนายนนท์มาก่อน ส่วนนายจำเนียร วรรักษาพยานโจทก์เบิกความว่านายนนท์บอกพยานว่าจำเลยนำไปเก็บไว้ที่บ้านของจำเลยไม่ทราบว่านายนนท์ยกงาช้างให้ผู้ใด นายจำเนียรเพียงแต่อ้างคำบอกเล่าของนายนนท์ผู้ตายโดยไม่ได้ความว่าผู้ตายรู้เห็นเองหรือไม่ อย่างไร ในข้อนี้กลับได้ความจากนางจันทรา พยานจำเลยว่านางจันทราได้นำงาช้างไปฝากไว้กับญาติผู้ใหญ่โดยได้รับการยกให้จากนายนนท์ตามเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งนอกจากโจทก์จะนำสืบหักล้างไม่ได้ว่าลายมือชื่อตามเอกสารดังกล่าวมิใช่ลายมือชื่อของนายนนท์แล้วนายจำเนียรพยานโจทก์ยังเบิกความเจือสมว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับลายมือชื่อของนายนนท์อีกด้วย ดังนี้ จึงมีเหตุผลตามที่จำเลยนำสืบได้ว่างาช้างตามฟ้องนายนนท์ได้ยกให้นางจันทราไปแล้ว และมิได้อยู่ในความครอบครองของจำเลย การที่โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์ตามฟ้องคืนจากจำเลยโดยอ้างว่าเป็นมรดกที่ได้รับมาจากนายนนท์ เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่ได้ครอบครองทรัพย์สินดังกล่าวจำเลยจึงมิใช่บุคคลผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย…”
พิพากษายืน.