แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อุทิศที่ดินให้แก่ทางราชการใช้ทำเป็นถนนและทางสาธารณะแม้จะยังไม่ได้แก้โฉนดและยังใช้เป็นถนนและทางสาธารณะไม่ถึง 10 ปีก็ตาม ที่ดินนั้นก็เป็นทางสาธารณะแล้ว จะกีดกันเอากลับมาเป็นของตนอีกไม่ได้
ปลูกสร้างรุกล้ำทางหลวง อำเภอมีคำสั่งห้ามแล้วยังขัดขืนไม่รื้อถอนออกไปโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานจำเลยย่อมต้องมีผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 334(2) ที่โจทก์ขอให้ลงโทษ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ยกกรรมสิทธิ์ที่ดินตอนหนึ่งของโจทก์ให้แก่ทางราชการเพื่อสร้างถนนและทางสาธารณะคณะกรรมการอำเภอได้ตัดถนนในที่ดินที่จำเลยที่ 1 ยกให้เสร็จเปิดใช้สัญจรแล้วจำเลยทั้งสองสมคบกันบุกรุกจะเอาที่กลับคืนทำป้ายปักลงในถนนและทางสาธารณะระบุว่าเป็นที่ดินส่วนบุคคลกีดขวางการจราจร และจำเลยที่ 2 ยอมให้ผู้อื่นเช่าปลูกร้านค้ารุกล้ำถนนหลวง กรมการอำเภอได้ออกคำสั่งห้ามหลายครั้งก็ยังขัดขืน จึงขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334(2) และ พระราชบัญญัติปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 122
จำเลยให้การต่อสู้ตัดฟ้องหลายประการ
ศาลล่างทั้งสองฟังต้องกันว่าจำเลยอุทิศที่ตอนพิพาทแล้วแม้โฉนดจะมีชื่อนางทิม ๆ เป็นแม่ยายจำเลยที่ 1 เท่ากับยินยอมโดยปริยายแล้ว
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334(2) ปรับ 12 บาท
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นผิดกฎหมายอยู่ก่อนแล้วการห้ามเท่ากับห้ามไม่ให้จำเลยทำผิดกฎหมายเป็นการสั่งซ้ำการกระทำที่ถือว่าเป็นความผิดและบัญญัติโทษไว้แล้ว จะลงโทษฐานขัดคำสั่งอีกไม่ได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษ จำเลยฎีกาว่าไม่ใช่ทางสาธารณะ
ศาลฎีกาฟังว่าเป็นทางสาธารณะแม้จะอุทิศไม่ถึง 10 ปีและยังไม่แก้โฉนดก็ไม่สำคัญ (อ้างฎีกาที่ 583/2483) คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานเท่านั้นอำเภอมีหน้าที่ดูแลรักษาที่สาธารณะประโยชน์ เมื่อจำเลยกีดกันที่นั้นเป็นประโยชน์ตน และขัดคำสั่งอำเภอ จึงมีผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน พิพากษากลับให้บังคับลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น